
กุยช่ายซึ่งเป็นหนึ่งผลิตเกษตรที่สำคัญของตำบลจี๋อัน(吉安) เมืองฮัวเหลียน มีวิธีการปลูกเฉพาะตัวที่ต้องพึ่งพาแรงงานจำนวนมาก ปัจจุบันประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานทำให้ผลผลิตลดลง สถานีวิจัยและส่งเสริมการเกษตรเขตฮัวเหลียนเร่งแก้ปัญหาด้วยการพัฒนาเครื่องจักรช่วยลดแรงงาน
ตำบลจี๋อัน เคยเป็นแหล่งผลิตกุยช่ายโคนขาวใหญ่ที่สุดในตลาดค้าผลไม้และผักของไต้หวัน มีพื้นที่เพาะปลูกราว 60 เฮกตาร์ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในหมู่บ้านหย่งซิง (永興) และเต้าเซียง(稻香) แต่ว่าปัจจุบันกำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงาน จางเต๋อฉี (張德奇) ผู้จัดการสมาคมเกษตรตำบลจี๋อัน กล่าวว่า ในอดีตชาวจี๋อันมีรายได้จากการขายร่วมกันสูงถึง 120 ล้านเหรียญไต้หวันต่อปี ปัจจุบันเหลือราว 30 ล้านเหรียญไต้หวัน
สถานีวิจัยและส่งเสริมการเกษตรเขตฮัวเหลียน แถลงว่า การปลูกกุยช่ายชนิดนี้ต้องใช้เทคนิคเฉพาะ โดยเริ่มจากการใช้เครื่องจักรไถร่องแล้วตามด้วยแรงงานคนสร้างร่องตื้นเพื่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต เมื่อเก็บเกี่ยวกุยช่ายครั้งแรกแล้ว จะต้องนำขี้เลื่อยไปคลุมบริเวณร่องตื้นเพื่อให้โคนกุยช่ายกลายเป็นสีขาว ซึ่งทำให้เส้นใยละเอียดและคุณภาพดีขึ้น จึงขายได้ราคาสูงในตลาด แต่ด้วยความที่วิธีปลูกต้องใช้แรงงานจำนวนมาก การปลูกพืชพื้นชนิดนี้ก็กำลังเผชิญกับวิกฤต
สถานีวิจัยและส่งเสริมการเกษตรได้พัฒนาเครื่องจักรสำหรับการปลูกกุยช่ายขาวออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. เครื่องทำร่องแบบแขวนท้าย (ติดท้ายไถหมุน) สามารถไถและทำร่องในคราวเดียว ใช้งานโดยคนเพียงคนเดียว และมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้แรงงานคนถึง 20 เท่า ลดต้นทุนแรงงานได้กว่า 95% ประเภทที่ 2. คือเครื่องปลูกแบบนั่งขับ โดยใช้คน 2 คน คนหนึ่งป้อนกล้า อีกคนขับและช่วยป้อนกล้า สามารถปลูกได้ 48 ต้นต่อนาที เร็วกว่าการใช้แรงงานคนกว่า 3 เท่า ส่วนประเภทที่ 3. คือ รถอเนกประสงค์ในแปลง (พร้อมเครื่องโรยขี้เลื่อย) เพื่อใช้พ่นปุ๋ยหรือยาฆ่าแมลง และโรยขี้เลื่อยหลังเก็บเกี่ยว ตัวรถเป็นแบบยกสูงพร้อมติดตั้งเครื่องโรยขี้เลื่อย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนแรงงาน
สถานีวิจัยและส่งเสริมการเกษตรฮัวเหลียนคาดว่า การปรับเปลี่ยนสู่เกษตรกรรมแบบใช้เทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งจำเป็น ช่วยลดความเหนื่อยล้าในการทำเกษตร และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับกระบวนการปลูกกุยช่าย ส่งผลให้พืชเศรษฐกิจพื้นถิ่นนี้ดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน