The Reporter เปิดโลกทัศน์ใหม่ให้แก่เยาวชน ตอนที่ 9
วัย 14 ปีของ เจิ้งจงหลง : หลังจากที่ไปเข้าห้องน้ำครั้งนั้น ชีวิตของผมก็เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกที่น่าอัศจรรย์
เรื่อง : จางเจิ้งหง
แปลและรายงานโดย ธีรวัช จาง
ครั้นเมื่อผมอายุ 14 ปีสมัยที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ห้องเรียนของผมอยู่ตรงกลางระหว่างคลาสเอและคลาสบี สมัยประถมผมเรียนอยู่ในคลาสที่เน้นวิชานาฏศิลป์ เดิมทีชีวิตในวัยเรียนของผมเรียบง่ายมาก วันๆเรียนหนังสือและเต้นรำ แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ผมได้ไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ข้างๆห้องเรียนของคลาสบี ทำให้ผมได้รู้จักกับเพื่อนกลุ่มใหม่ จากนั้นผมก็เริ่มสูบบุหรี่ เสพยา มีเรื่องชกต่อยจนต้องขึ้นโรงพัก กลายเป็นเยาวชนที่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของสถานพินิจ สำหรับผมแล้วช่วงเวลาเหล่านั้นเหมือนผมได้หลุดเข้าไปอยู่ในโลกที่น่าอัศจรรย์
ปีนี้ (พ.ศ. 2566) ครบรอบ 50 ปีแห่งการก่อตั้งคณะระบำ Cloud gate เมื่อ 3 ปีที่แล้ว หลังผมรับไม้ต่อจากอาจารย์หลินไหวหมิน (林懷民) ในการดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของคณะได้ไม่นาน ก็เกิดโรคระบาดขึ้น ขณะนั้น ผู้คนต่างสงสัยว่า ผมจะนำคณะ Cloud gate ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงดังเช่นอาจารย์หลินได้อย่างไร อันที่จริง ผมและอาจารย์หลินเติบโตมาจากภูมิหลังที่แตกต่างกันมาก ดังนั้นจะมาเปรียบเทียบกันหรือให้ผมไปเลียนแบบเขาไม่ได้ สิ่งที่ผมทำได้คือออกแบบท่าเต้นต่อไปในแบบฉบับของตัวเอง พยายามสื่อสารกับผู้ชมด้วยร่างกาย ให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงพลังแห่งการร่ายรำ ครั้นเมื่อยังเด็ก ผมเคยติดยาและหลงเดินทางผิด แต่พลังของการร่ายรำก็ดึงผมให้กลับมากลายเป็นคนใหม่ได้
การเต้นรำ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนปลาได้น้ำ
ผมเริ่มเรียนเต้นรำตั้งแต่สมัยชั้นประถมจนถึงระดับมหาวิทยาลัย สาเหตุที่ผมเริ่มเรียนเต้นรำตั้งแต่ตอนอยู่ชั้นประถมเนื่องจากตอนนั้นผมเป็นคนไฮเปอร์ ไม่ว่าจะไปที่ไหนผมเหมือนเป็นตัวทำลายล้าง ตอนเด็กๆก็มักจะโชคไม่ค่อยดีนัก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมเกือบเสียใบหูไปเนื่องจากไปเล่นเครื่องเล่นที่สวนสาธารณะ หูแทบหลุดด้วยสาเหตุบางอย่าง ขนาดไปเล่นน้ำริมลำธาร นิ้วหัวแม่มือยังเกือบถูกกระจกตัดขาด ผมยังจำได้ตอนเด็กๆขณะที่คุณแม่กำลังเสริมสวย ผมที่นั่งเล่นใบมีดอยู่ข้างๆ ก็โดนมีดบาดจนคุณแม่ต้องรีบพาไปหาหมอที่ห้องฉุกเฉินในสภาพที่ยังเสริมสวยไม่เสร็จ เนื่องจากผมเสียเลือดเยอะมาก อุบัติเหตุที่เกิดจากความไฮเปอร์ของผม กลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตของผมไปแล้ว
ครั้นเมื่อผมอยู่ชั้นป. 3 โรงเรียนให้ผมเลือกว่าจะเรียนห้องเด็กอัจฉริยะหรือห้องนาฏศิลป์ แม้ผลจะมีผลการเรียนดีจนสามารถเลือกเรียนห้องเด็กอัจฉริยะได้ แต่ผมรู้ว่าผมชอบอะไรและต้องการอะไร ผมจึงไม่รอช้าที่จะตัดรูปตัวเองมาแปะบนตารางห้องเรียนนาฏศิลป์ และสุดท้ายผมก็ได้รับเลือก คุณแม่ที่ทราบข่าวไม่เพียงไม่คัดค้านแต่ยังให้การสนับสนุน ท่านคงคิดว่าการเต้นอาจจะช่วยลดความไฮเปอร์ของผมลงได้
นักเรียนห้องนาฏศิลป์ไม่จำเป็นต้องเรียนในห้องเรียนทุกวัน สำหรับผมแล้วมันเหมือนปลาได้น้ำ การเต้นรำก็เหมือนการใช้ร่างกายในการสื่อสาร มีอยู่ครั้งหนึ่งที่คุณครูให้โจทย์พวกเราในการใช้ท่าทางในการพรรณนาสิ่งต่างๆ ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าผมเต้นอะไรไป ผมได้ใช้จินตนาการอย่างเต็มที่ และผมก็มีความสุขมาก
หากมองย้อนกลับไปบนเส้นทางการเต้นรำของผม ผมรู้สึกว่าผมสามารถเป็นตัวเอกได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก อาจจะเป็นเพราะผมตัวสูงจึงได้เปรียบคนอื่นๆ
พ่อแม่บางคนอาจไม่เห็นด้วยที่ลูกชายจะเลือกเรียนแต่รำ แต่สำหรับรุ่นผมแล้วกลับไม่ใช่อย่างนั้น ห้องผมมีผู้ชายทั้งหมด 9 คน ทุกครั้งที่ขึ้นแสดงไม่เคยมีสายตาที่แปลกๆจ้องมองพวกเราเลย ในทางกลับกัน เวลาขึ้นแสดงกลับดูสง่าผ่าเผย ผิดกับน้องชายของผมที่เลือกเรียนห้องนาฏศิลป์เหมือนกันแต่เขาโชคไม่ค่อยดีนัก รุ่นน้องชายผมไม่ค่อยมีผู้ชายเรียนห้องนาฏศิลป์สักเท่าไร มิหนำซ้ำยังถูกเพื่อนผู้ชายล้อว่าดูตุ้งติ้ง เสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้สร้างแรงกดดันจนเขาต้องออกจากห้องนาฏศิลป์และย้ายไปเรียนแผนปกติ
จากเสียงที่ได้ยินในลังกระดาษสู่ผลงาน “13 Tongues”
ผมและน้องชายเรียนเต้นรำ ส่วนพี่สาวเรียนเปียโนและการขับร้อง คุณพ่อคุณแม่ของพวกเราไม่มีใครมีพื้นฐานการเป็นศิลปินเลยแม้แต่นิด และแม้แต่วุฒิการศึกษาสูงๆก็ไม่มี คนหนึ่งเรียนถึงชั้นมัธยมต้น อีกคนหนึ่งเรียนถึงแค่ชั้นประถม แม้พวกท่านจะไม่ได้ให้คำแนะนำในด้านวิชาการแก่พวกเรามากนัก แต่พวกท่านได้ให้อิสระเราในการเลือกทางเดินของชีวิต สนับสนุนในสิ่งที่พวกเราสนใจ ความรักที่คุณแม่มีต่อพวกเรานั้นสุดจะบรรยาย ไม่ว่าคุณแม่จะยุ่งมากแค่ไหน ท่านก็จะตื่นแต่เช้าทุกวันเพื่อเตรียมอาหารเช้าและอาหารกลางวันให้พวกเราห่อไปกินที่โรงเรียน
คุณพ่อคุณแม่ของผมตั้งแผงขายรองเท้าริมถนนในเขตว่านหัว (萬華) ซึ่งเดิมเรียกว่า ม่งเจี่ย (艋舺) สมัยที่หลี่เติงฮุย (李登輝) ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการกรุงไทเป เขาผลักดันกิจกรรมวิ่งเหยาะตอนเช้า คุณพ่อคุณแม่ก็พาพวกเราไปตั้งแผงขายรองเท้าตามที่ต่างๆ เมื่อใดที่มีลูกค้ามากๆ คุณพ่อคุณแม่จะจับพวกเราโยนใส่ลังกระดาษพร้อมของเล่นและโรงเท้าแตะ ดังนั้นจะมีอยู่ช่วงหนึ่งในชีวิตที่โลกของพวกเราอยู่ในกล่องกระดาษ
ผมมักนั่งมองท้องฟ้าผ่านกรอบสี่เหลี่ยมของลังกระดาษ พร้อมๆกับฟังเสียงต่างๆที่เกิดขึ้นบนท้องถนน เสียงคนตะโกนซื้อขายของ เสียงเพื่อนหรือญาติมิตรพูดคุยกันในเรื่องต่างๆ ผมนำเสียงเหล่านั้นมาร้อยเรียงเป็นนิทานในหัวสมอง ภาพสีสันของวัดวา ตรอกที่มีผู้คนพลุกพล่าน ตลอดจนคำพูดและท่าทางของผู้คนต่างตราตรึงอยู่ในใจของผมไม่เคยจางหาย ก่อนที่ผมสร้างผลงานใหม่ ผมได้พูดคุยย้อนวันวานในอดีตถึงเรื่องราวความวุ่นวายในม่งเจี่ยกับคุณแม่ คุณแม่เล่าว่า ในสมัยทศวรรษ 1960 มีศิลปินมากความสามารถระดับตำนานท่านหนึ่ง ซึ่งใช้นามว่าสือซานเซิง (十三聲) หรือที่มีความหมายในภาษาไทยว่า 13 เสียง ไม่ว่าเขาจะเปล่งเสียงออกมาเป็นเสียงผู้ชายหรือผู้หญิง จะเลียนเสียงเด็กหรือเสียงผู้ใหญ่ จะเล่าเรื่องราวที่เป็นตำนานหรือนิทานสมัยใหม่ ก็ล้วนสามารถดึงดูดผู้ชมได้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นผมจึงนำเรื่องราวที่คุณแม่เล่า มาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบท่าเต้น เพื่อบอกเล่าเรื่องราวในอดีตผ่านการแสดงที่มีชื่อว่า สือซานเซิง (十三聲) หรือ “13 Tongues” หวังว่าการแสดงนี้จะสามารถทำให้ผู้ชมรุ่นคุณพ่อคุณแม่หวนนึกถึงวันวานในสมัยนั้น
ผมกลายเป็น “ตัวเอก” ของข่าวยาเสพติดในโรงเรียนบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์
หลังจากที่ผมก้าวเข้าสู่ชั้นมัธยมต้น มีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป ขณะนั้นตลาดหุ้นไต้หวันคึกคัก เป็นยุคที่เศรษฐกิจไต้หวันเฟื่องฟู คุณพ่อก็เริ่มตั้งแผงขายของน้อยลง แต่ไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น
สมัยผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ห้องนาฏศิลป์ของผมอยู่ตรงกลางระหว่างห้องเอและห้องบี ห้องผมมีนักเรียนทั้งหมด 20 คน และมีผู้ชายเพียง 4 คนเท่านั้น
เนื่องจากห้องน้ำจะอยู่ฝั่งห้องบี จึงทำให้ผมสนิทกับเพื่อนห้องบีมากกว่า พวกเราจะแฮงค์เอาท์กันในห้องน้ำ หยอกล้อพูดคุยกัน ตอนอยู่กับพวกเขาผมรู้สึกอิสระ จะพูดหรือแสดงท่าทางอะไรก็ได้ จากนั้นผมเริ่มเรียนรู้การสูบบุหรี่แล้วก็เริ่มลองใช้ยาเสพติด ผมเริ่มรู้จักการโดดเรียน แอบปีนรั้วโรงเรียนออกไปเล่นเกมส์หรือแทงสนุ๊กเกอร์ เพื่อแสดงออกถึงการเชิดชูเกียรติยศและศักดิ์ศรีของพวกพ้อง พวกเราถึงขั้นออกไปหาเรื่องชกต่อยกับนักเรียนต่างโรงเรียน ในตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งเลวร้าย รู้แต่เพียงว่า มันเป็นเรื่องที่สนุกสนาน ราวกับว่ามีโลกที่อัศจรรย์และแปลกใหม่รอให้ผมได้เข้าไปสัมผัส
ตอนที่ผมกำลังจะขึ้น ม.3 โรงเรียนได้จัดทริปทัศนศึกษา ผมและเพื่อนอีกคนหนึ่งวางแผนที่จะเอาของผิดกฎหมายติดตัวไปด้วย ขณะที่ผมกับเพื่อนกำลังจะไปเอาของที่บ้านของเขา ทันทีที่เปิดประตูเข้าบ้าน กลับถูกชายรูปร่างกำยำหลายคนควบคุมตัวและกดพวกเราลงกับพื้น พวกเขาพบห่ออลูมิเนียมฟอยล์แผ่นหนึ่งในกระเป๋าสตางค์ของผม จากนั้นผมถูกนำตัวขึ้นรถตู้สีดำทันที เมื่อเปิดประตูรถผมเห็นเพื่อนๆทุกคนอยู่ในนั้น บางคนแสดงสีหน้าเฉยชา บางคนร้องไห้และผมก็ร้องไห้เช่นกัน ตอนนั้นผมรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกระทันหันมาก เราไม่ได้กำลังเล่นเกมกันอยู่หรือ ทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นเรื่องจริงได้ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การผจญภัยอันน่าตื่นเต้นระหว่างพวกพ้องกลับกลายเป็นความจริงอันโหดร้ายและน่าสะพรึงกลัว
จากนั้นไม่นานรถตู้สีดำก็พาพวกเราไปยังสำนักงานสืบสวนคดีเยาวชนที่อยู่ใกล้กับตลาดกลางคืนหนิงเซี่ย (寧夏夜市) ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นอาคารเก่าแก่ไปแล้ว ผมจำได้ว่าพวกเราถูกคุมตัวลงจากรถทีละคนเพื่อแยกสอบสวน ผมขอร้องเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งน้ำตาไม่ให้บอกเรื่องนี้กับคุณพ่อคุณแม่ผม
และแล้วข่าวการจับกุมก็ถูกเผยแพร่บนหนังสือพิมพ์ในวันรุ่งขึ้น โดยพาดหัวข่าวตัวโตๆว่า "นักเรียนชั้นมัธยมต้นเจิ้งXหลงเสพยาบ้า" ผมจำได้ว่า นั่นเป็นครั้งแรกที่ไต้หวันที่มีข่าวยาบ้าแทรกซึมเข้าไปในโรงเรียนมัธยมต้น สร้างความตกใจให้แก่คนในสังคมเป็นอย่างมาก ความจริงก็คือในขณะที่ผู้คนกำลังหมกมุ่นกับการซื้อขายกันในตลาดหุ้น อีกด้านหนึ่งของสังคมก็มีนักเรียนที่กำลังตกอยู่ในหลุมพรางของยาเสพติด ตัวผมจากที่เคยเป็น "ตัวเอก" ในการเต้นรำมาโดยตลอด คราวนี้ผมได้กลายเป็น "ตัวเอก" บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์
ฉากเตือนใจในสถานดูแลผู้ป่วยติดเตียงนำไปสู่จุดเปลี่ยนของชีวิต
เนื่องจากผมยังเป็นเยาวชน หลังถูกจับกุมในข้อหาเสพยาติด ผมต้องโทษควบคุมความประพฤติ 3 ปี ในวันธรรมดาผมก็ไปโรงเรียนตามปกติ ส่วนทุกวันเสาร์-อาทิตย์ผมต้องไปรายงาน เพื่อฟังการอบรมที่น่าเบื่อทั้งวัน รวมถึงต้องเขียนรายงานเกี่ยวกับสิ่งที่ได้รับจากการอบรมด้วย นับว่าเป็นโชคดีของผมที่ตอนนั้นผมได้พบกับผู้ดูแลที่ดีมาก คุณหลูซูเหว่ย (盧蘇偉) ถือเป็นผู้มีพระคุณต่อผมมากที่สุดคนหนึ่งในชีวิตผม เขาพยายามหาโอกาสพาพวกเราหนีจากการอบรมที่น่าเบื่ออยู่เสมอ เขาพาพวกเราไปศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และบ้านพักคนชราเป็นต้น ซึ่งผมมักจะรับหน้าที่แสดงเต้น เพียงผมเริ่มขยับเท้า ก็สามารถสร้างรอยยิ้มให้แก่พวกเขาเหล่านั้นได้ ผมมีความสุขมากที่ได้ใช้ภาษากายที่ผมถนัดสร้างความสุขให้ทุกคน
ผมจำได้ว่าตอนนั้นได้เจอกับคนไข้คนหนึ่ง ตัวเขาต้องออกมาทำงานเลี้ยงชีพตั้งแต่อายุ 10 ขวบ โชคไม่ดีถูกไฟฟ้าช็อต จากนั้นก็กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เตียงของเขาอยู่ติดกับหน้าต่าง มองออกไปก็จะเห็นหลังคาของสถานีรถไฟ ไทเป ขณะที่ผมช่วยเขาพลิกตัวก็พลันนึกถึงชะตาชีวิตของเขา เขานอนอยู่ที่นั่นมานานกว่า 10 - 20 ปี ไม่สามารถขยับตัวหรือสนทนาได้ ในขณะที่ผมยังมีมือมีเท้าครบสมบูรณ์ ผมปล่อยให้ชีวิตเดินทางทาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ห้วงเวลานั้นทำให้ผมได้ฉุกคิด ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี ผมก็ยังนึกถึงภาพและความรู้สึกนั้นอยู่เสมอ
จากนั้นเป็นต้นมา ผมก็ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับห้องบีอีกเลย เพื่อนๆที่เคยแฮงค์เอาท์ด้วยกันก็ถูกตัดขาดจากชีวิตของผมอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าโรงเรียนจะสร้างรั้วล่องหนไว้เพื่อไม่ให้ผมไปเจอกับพี่น้องในอดีต ผมจำไม่ได้แล้วว่าพวกเขาหน้าตาเป็นอย่างไร บางครั้งผมก็อยากรู้ว่าตอนนี้พวกเขาสบายดีไหม
ผมไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อตัวผมมากแค่ไหน ผมเสนอตัวออกแบบท่าเต้นในการแสดงในพิธีจบการศึกษา ในช่วงครึ่งแรกผมได้ออกแบบท่าเต้นเลือกเพลงที่ค่อนข้างเข้าใจยาก แต่แสดงออกถึงความเจ็บปวดและการต่อสู้ดิ้นรน จนกระทั่งถึงช่วงหนึ่ง ผมเลือกใช้ท่าทางที่ปลดปล่อยและปรับเปลี่ยนสไตล์ของเพลง ผมเลือกเพลง “ชุนฟงเซ่าเหนียนซง” (春風少年兄) ของหลินเฉียง (林強) เมื่อดนตรีเริ่มขึ้น ผู้ชมในศูนย์แสดงศิลปะนิวไทเปต่างปรบมือ โห่ร้อง สนุกกับการแสดงอย่างบ้าคลั่ง ช่างเป็นช่วงเวลาที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง
ในตอนนั้นผมรู้สึกพึงพอใจกับสิ่งที่เวทีเต้นรำได้มอบให้แก่ผม ผมชอบเวที ชอบเสียงปรบมือ ผมกระหายในความสนใจของผู้คน ความไร้สาระในชีวิตวัยเยาว์ ช่วงเวลาเสเพลกับเหล่าพี่น้องห้องบีทั้งหลาย กลายเป็นฉากหลังของเวทีที่ค่อยๆเลือนหายไปในที่สุด
หลังกระดูกสันหลังร้าว ผมพลิกบทบาทจากนักแสดงเป็นนักออกแบบท่าเต้น
เมื่อผมขึ้นชั้นมัธยมปลาย ผมเลือกเรียนสาขานาฏศิลป์ที่โรงเรียนศิลปะการแสดงหัวกัง (Huagang Art School) จากนั้นผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะแห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan University of Arts) ผมเรียนสาขานาฏศิลป์ภาคค่ำ และตอนนั้นเองผมได้พบกับผมมีพระคุณที่สำคัญอีกคนหนึ่งในชีวิตผม นั่นคือคุณหลัวมั่นเฟย (羅曼菲) หนึ่งในสมาชิกคณะ Cloud Gate ผู้ล่วงลับไปแล้ว คุณหลัวรู้ว่าผมชอบออกแบบท่าเต้น เธอจึงสนับสนุนให้ผมสอบเทียบโอนย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยศิลปะไทเป (Taipei National University Of The Arts) สมัยที่ผมเรียนอยู่ชั้นปี 4 ผมก็รู้สึกสับสนในตนเองอีกครั้ง ผมไม่แน่ใจว่าทำไมถึงอยากเรียนเต้น ผมใช้เวลาอยู่ในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ตลอดทั้งวัน ผมตัดสินใจพักการเรียนและไปเกณฑ์ทหาร ขณะยืนเฝ้าเวรยามผมรู้สึกปวดไปทั้งตัว จึงไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล หลังจากเอ็กซเรย์ คุณหมอบอกว่ากระดูกสันหลังร้าว อาจเป็นเพราะผมไม่ค่อยวอร์มร่างกายก่อนขึ้นไปเต้น นานเข้าจึงเกิดเป็นปัญหาสุขภาพสะสม
ผมเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษากระดูกร้าว หลังผ่าตัดผมต้องสวมชุดเหล็กนอนอยู่บ้านหลายเดือน เดิมทีคุณพ่อหวังให้ผมทิ้งการเต้นรำและไปขายรองเท้ากับท่าน แต่ผมกลับพบว่าผมยังคงมีใจรักในด้านนี้ จึงโน้มน้าวคุณพ่อให้อนุญาตผมกลับไปเรียนเต้นในมหาวิทยาลัยที่ผมพักการเรียนไว้ และตั้งใจเรียนในปีสุดท้ายให้จบ
หลังจบมหาวิทยาลัย ขณะนั้นมีเพียงคณะ Cloud Gate ที่เป็นคณะนาฏศิลป์อาชีพที่จ่ายเงินเดือนนักแสดงเพียงแห่งเดียวในไต้หวัน เพื่อให้คุณพ่อได้วางใจ ผมจึงตัดสินใจสมัครสอบเข้าร่วมคณะดังกล่าว 4 ปีที่ Cloud Gate สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตผมเป็นอย่างมาก ผมซึ่งเป็นคนที่เคยไม่ชอบอ่านหนังสือ ทุกครั้งที่มีการเดินทางไปแสดงยังต่างประเทศต้องหอบหนังสือ 1 ลังเต็มๆไปด้วย เพื่อให้นักแสดงได้อ่านหนังสือตามใจชอบ นอกจากนี้การเดินทางไปแสดงที่ต่างประเทศบ่อยๆ ทำให้ผมได้เปิดโลกทัศน์ จิตวิญญาณของผมก็เติบโตขึ้นด้วย
4 ปีผ่านไป กระดูกสันหลังของผมที่เคยบาดเจ็บไม่สามารถทนต่อการใช้งานในคณะรำในฐานะนักเต้นอาชีพ ผมจึงต้องจำใจลาออกจากคณะ Cloud Gate กระนั้นผมก็ไม่ได้ออกจากเส้นทางการเต้นอาชีพ ผมรับจ้างออกแบบและรังสรรค์ท่าเต้นต่างๆ ในตอนนั้นคุณหลัวมั่นเฟยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของคณะ Cloud Gate 2 และเชิญผมไปออกแบบท่าเต้นด้วย เมื่อการแสดงเริ่มขึ้น ผู้ชมต่างสนุกไปกับการแสดงอย่างบ้าคลั่งเหมือนครั้งที่ผมแสดงตอนพิธีจบการศึกษา ดังนั้นผมจึงกลายเป็นผู้ออกแบบท่าเต้นให้คณะ Cloud Gate 2 รวมถึงการไปแข่งขันในต่างประเทศจนถึงปัจจุบันนี้
การเต้นรำคือพรสวรรค์แห่งความสุข
หลังจากที่ผมรับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของคณะ Cloud Gate ได้ไม่นานก็เกิดโรคระบาด ขณะนั้นไต้หวันมีนโยบายควบคุมโรคอย่างเข้มงวด ดังนั้นทุกคนจึงไม่สามารถมาชุมนุมกันได้ ผมและลูกทีมจึงทำได้เพียงฝึกซ้อมกันผ่านวิดีโอคอล การเปลี่ยนแปลงของโลกทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง การที่คนอีกฝั่งหนึ่งของโลกไอหรือจามก็ทำให้คนที่อยู่อีกฝั่งต้องมาตรวจคัดกรองได้ ในทางเดียวกันการเกิดสงครามที่อีกซีกโลกหนึ่งก็สามารถส่งผลกระทบต่ออุปทานอาหารของผู้ที่อาศัยอยู่อีกฝั่งซีกโลกได้ อันที่จริงแล้ว ทุกสิ่งในโลกเชื่อมโยงถึงกัน ราวกับมีการส่งต่อพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นและพลังงานนั้นดันมีอิทธิพลต่อกันด้วย สิ่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมสรรสร้างผลงาน “waves” (波) ขึ้น แต่มันยังเป็นภาพความทรงจำในวัยเยาว์ของผม หลายสิ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล เป็นไปได้ว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาอาจเกิดขึ้นจากบุคลิกลักษณะนิสัยของผม หรืออาจจะเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตก็เป็นได้ คลื่นพลังงานที่มองไม่เห็นเหล่านี้ ได้นำพาผมให้หลงเดินทางผิด และคลื่นพลังงานนี้เองก็ได้นำพาผมให้มาเจอกับผู้มีพระคุณ พาผมไปพบเจอกับทางสว่าง ให้ผมได้ค้นพบว่า สิ่งที่ผมถนัดและหลงใหลมากที่สุด ก็ยังคงเป็นการเต้นรำนั่นเอง
หลายคนถามผมว่า การเต้นรำทั้งลำบากทั้งทำให้ร่างกายผมบาดเจ็บ ทำไมผมถึงยังเลือกที่จะทำต่อไป คำตอบนั้นง่ายมาก ร่างกายของผมคือของขวัญที่ประเสริฐที่สุดที่สวรรค์ประทานให้ พรสวรรค์ในการเต้นคือสิ่งที่สร้างความสุขให้ผมมากที่สุด ผมไม่เคยต้องการสิ่งของนอกกาย ผมสามารถสรรค์สร้างผลงานต่างๆได้ การเต้นรำคือการแสดงตัวตนที่แท้จริงของผม
ผมมีความปรารถนาอันแรงกล้ามาโดยตลอด ความรู้สึกเมื่อเสียงดนตรีดังขึ้นและผู้ชมร่วมสนุกไปกับผมอย่างบ้าคลั่งในการแสดงในงานพิธีสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมต้น มันคือแรงผลักดันที่ทำให้ผมมีไฟในการสร้างสรรค์ผลงานต่อ และนี่ก็เป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญมากที่สุด มากกว่าสิ่งอื่นใดในโลกนี้
ผมอยากบอกกับผมในวัย 14 ปีว่า …
ตอนนั้นผมแอบขโมยเงินคุณพ่อคุณแม่เพื่อไปซื้อยาเสพติด มิหนำซ้ำยังรีดไถจากเพื่อนที่ไม่ทางสู้
ผมอยากบอกกับตัวเองในวัย 14 ปีว่า เราไม่ควรทำร้ายใคร การทำร้ายผู้อื่นเป็นสิ่งที่ผิดและไม่ควรกระทำ สำหรับทางที่ผมเลือกเดินในอดีต ผมไม่จำเป็นต้องมาออกมาพูดว่ารู้สึกเสียใจหรือไม่ หากผมสามารถย้อนเวลากลับไปเริ่มใหม่อีกครั้ง ผมอาจจะเลือกเดินบนเส้นทางเดิมก็ได้ ถึงอย่างไรเราก็ไม่ควรทำร้ายผู้อื่น
ชีวประวัติของเจิ้งจงหลง
เกิดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ.1976 ในเขตว่านหัว (萬華) กรุงไทเป
ชีวิตในวัยประถมและมัธยม
ปี ค.ศ. 1984 อายุ 8 ปี สมัครเข้าเรียนห้องนาฏศิลป์ โรงเรียนประถมปู้เฉียน (埔墘國小)
ปี ค.ศ. 1991 อายุ 15 ปี ออกแบบท่าเต้นครั้งแรกในพิธีจบการศึกษาชั้นมัธยมต้น
ปี ค.ศ. 1993 อายุ 17 ปี ผลงานการแสดง《黑天使》、《獵人與鹿》、《魚玄機》、《菊豆與青天》
ปี ค.ศ. 1995 อายุ 19 ปี จบมัธยมปลายจากโรงเรียนศิลปะการแสดงหัวกัง (Huagang Art School) สอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะแห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan University of Arts) สาขานาฏศิลป์ (ภาคค่ำ)
ปี ค.ศ. 1997 อายุ 21 ปี ย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยศิลปะไทเป (Taipei National University Of The Arts) สาขานาฏศิลป์
ปี ค.ศ. 1999 อายุ 23 ปี พักการเรียนไปเกณฑ์ทหาร แต่ปลดประจำการก่อนกำหนดเนื่องจากปัญหากระดูกสันหลังร้าว
ปี ค.ศ. 2002 อายุ 26 ปี จบการศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะไทเป ออกแบบท่าเต้นในการแสดงชุด 《爻》、《不歇的戰爭》、《較量》
ชีวิตในช่วงการเป็นนักแสดงคณะ Cloud Gate
ปี ค.ศ. 2002 อายุ 26 ปี เข้าร่วมเป็นนักแสดงที่คณะ Cloud Gate
ชีวิตในช่วงการเป็นนักออกแบบท่าเต้นอิสระ
ปี ค.ศ. 2003 อายุ 27 ปี ออกจากคณะ Cloud Gate ออกแบบท่าเต้นการแสดงชุด 《似相》ซึ่งได้รับคัดเลือกให้แสดงในงาน Innovation Series Dance
ปี ค.ศ. 2005 อายุ 29 ปี
- ออกแบบท่าเต้นการแสดงชุด《白膠帶》ให้แก่คณะนาฏศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปะแห่งชาติไทเป เพื่อเดินทางไปแสดงที่มาเลเซียและฮ่องกง
- ออกแบบท่าเต้นการแสดงชุด 《爻》โดยแสดงเปิดงาน “Asia-Pacific Art Forum” และ WDA
ปี ค.ศ. 2006 อายุ 30 ปี
- ได้รับรางวัลเหรียญทองแดงจากการประกวดการเต้นบัลเล่ต์ร่วมสมัยในงาน No Ballet ประเทศเยอรมนีภายใต้การแสดงชุด 《狄德貝許》
- ได้รับรางวัลชมเชยจากการแข่งขัน WANDERER ที่ประเทศอินเดีย
ปี ค.ศ. 2008 อายุ 32 ปี ออกแบบท่าเต้นในการแสดงชุด 《變》ให้แก่คณะ Cloud Gate
ปี ค.ศ. 2009 อายุ 33 ปี
- ออกแบบท่าเต้นในการแสดงชุด 《骨》ร่วมแสดงใน Joyce Theatre นิวยอร์ก
- ได้รับเชิญไปออกแบบท่าเต้นในการแสดงชุด Radix ให้แก่คณะ Transitions Dance Company จากประเทศอังกฤษ
ปี ค.ศ. 2010 อายุ 34 ปี ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการและกำกับการแสดงในงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่และงานเฉลิมฉลองครบรอบ 100 สาธารณรัฐจีน
ปี ค.ศ. 2011 อายุ 35 ปี
- ออกแบบการแสดงชุด 《在路上》คว้ารางวัลการออกแบบท่าเต้นยอดเยี่ยมในการแข่งขันรายการ MASDANZA ที่ประเทศสเปน
- ได้รับรางวัลนักออกแบบท่าเต้นดีเด่นในการแข่งขันออกแบบท่าเต้นที่กรุงโรมประเทศอิตาลี
- ออกแบบท่าเต้นการแสดงชุด 《只有你》ให้แก่ไช่หมิงเลี่ยง (蔡明亮)
- ได้รับทุนจากสภาวัฒนธรรมแห่งเอเชียไปศึกษาต่อที่นิวยอร์ก
- ได้รับรางวัลบุคคลแห่งปีจากนิตยสาร The Performing Arts Readiness (PAR)
ปี ค.ศ. 2012 อายุ 36 ปี ออกแบบท่าเต้นในการแสดงชุด 《牆》ให้แก่คณะ Cloud Gate 2 ในการไปแสดงที่สหรัฐฯครั้งแรก และได้รับการยอมรับจากหนังสือพิมพ์ NewYork Times雲
ชีวิตในช่วงการดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์คณะ Cloud Gate 2
ปี ค.ศ. 2012 อายุ 36 ปี
- ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์คณะ Cloud Gate 2
- ผลงาน 《在路上》ได้รับรางวัลการแสดงแห่งปีจาก Taishin Arts Award
ปี ค.ศ. 2013 อายุ 37 ปี ได้รับเชิญจากสมาคมวัฒนธรรมแห่งเอเชียให้ออกแบบการแสดงชุด 《禮物》เพื่อแสดงเปิดงานฉลองครบรอบ 50 ปีที่นิวยอร์ก
ชีวิตในช่วงการดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์คณะ Cloud Gate 2
ปี ค.ศ. 2014 อายุ 38 ปี ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์คณะ Cloud Gate 2
ปี ค.ศ. 2016 อายุ 40 ปี
- ได้รับเชิญจาก TIFA ในการออกแบบท่าเต้นการแสดงชุด 《十三聲》
- ออกแบบการแสดงชุด 《來》ให้แก่คณะ Cloud Gate 2 เพื่อร่วมแสดงในงาน Fall Dance Festival ที่นิวยอร์ก
- ผลงาน 《牆》、《來》 ของคณะ Cloud Gate 2 มีโอกาสร่วมแสดงที่โรงละคร Sadler's Wells ในลอนดอนและได้รับยกย่องให้เป็นการแสดงที่ดีที่สุดประจำสัปดาห์จาก The Guardian
ปี ค.ศ. 2017 อายุ 41 ปี ออกแบบท่าเต้นในการแสดงชุด Full Moon ให้แก่คณะ Sydney Dance Company จากประเทศออสเตรเลีย
ปี ค.ศ. 2019 อายุ 43 ปี
- ร่วมงานกับคณะ Sigur Rós จากประเทศไอซ์แลนด์ในการออกแบบการแสดงชุด 《毛月亮》และเปิดตัวครั้งแรกโดย Cloud Gate 2 ที่ศูนย์ศิลปะการแสดงแห่งชาติ Weiwuying
- ร่วมงานกับไช่หมิงเลี่ยงอีกครั้งในการออกแบบการแสดง 《無伴奏大提琴組曲》舞蹈《沙丘漫舞》
- การแสดงชุด《乘法》ที่ร่วมออกแบบกับคณะจากปักกิ่ง ได้รับเชิญไปแสดงในนครเซี่ยงไฮ้ กรุงปักกิ่ง จี๋หนาน หางโจว เฉินตู เซี่ยเหมิน และหนานจิง
ชีวิตในช่วงการดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์คณะ Cloud Gate
ปี ค.ศ. 2020 อายุ 44 ปี
- รับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์คณะ Cloud Gate
- นำการแสดงชุด《十三聲》ทัวร์รอบยุโรป โดยทำการแสดงใน ปารีส ลียง ลอนดอน และสตอกโฮล์มเป็นต้น เป็นเวลา 63 วัน มีผู้เข้าชมรวมมากกว่า 20,000 คน
- สร้างสรรค์ผลงาน 《定光》
- ได้รับยกย่องจาก Rodriguez ให้เป็น 1 ใน 50 นักออกแบบท่าเต้นร่วมสมัยชั้นนำของโลก
- ได้รับรางวัลบุคคลแห่งปีอีกครั้งจากนิตยสาร The Performing Arts Readiness (PAR)
ปี ค.ศ. 2022 อายุ 46 ปี
- สร้างสรรค์ผลงาน 《霞》
- ได้รับเชิญให้แสดงผลงาน 《十三聲》ในเทศกาลศิลปะฤดูร้อนของเมืองซินจู๋ โดยสามารถดึงดูดผู้ชมได้มากกว่า 3,000 คนแม้เกิดฝนตกในระหว่างการแสดง
- คณะ Cloud Gate กลับมาแสดงกลางแจ้งอีกครั้ง หลังจากที่หยุดไป 2 ปีเนื่องจากโรคระบาด มีผู้ชมให้การสนับสนุนเป็นจำนวนมาก
- นำการแสดงชุด《十三聲》ทัวร์รอบ 6 เมืองใหญ่ของสหรัฐอเมริกา
แนะนำคอลัมน์ :【ฉันในอายุ 14 ปี】
ในช่วงอายุ 14 ปี หรือขณะที่เรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ชึ่งเป็นช่วงที่ “โรค ม.2” กำลังกำเริบ ความหวังที่อยากให้ตัวเองโดดเด่นไม่เหมือนใคร ในขณะยังไม่มีความมั่นใจและมุมานะมากพอ ประกอบกับสภาพร่างกายและจิตใจยังอยู่ในวัยเด็ก ยังไม่มีความคิดที่โตเป็นผู้ใหญ่ ช่วงนี้จึงเป็นรอยต่อระหว่างเด็กที่ไร้เดียงสาและผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ เมื่อผ่านช่วงวัยนี้ไปแล้ว บางคนอาจเจอกับหนทางชีวิตที่สดใส ในขณะที่บางคนอาจยังเอาแน่เอานอนกับชีวิตไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็อย่าได้กังวลไป ทั้งชีวิตของคนไม่มีหนทางไหนที่เป็นหนทางที่ดีที่สุด คอลัมน์นี้เขียนขึ้นเพื่อผู้อ่านทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่เคยผ่านช่วงอายุ 14 ปีมาแล้ว กำลังจะย่างเข้า 14 หรือแม้กระทั่งคนที่กำลังอยู่ในวัยนี้ก็ตาม ขอให้รู้ไว้ว่าผู้เขียนในคอลัมน์นี้ทุกคน ต่างเคยผ่านความรู้สึกเช่นเดียวกับคุณทั้งสิ้น