:::

บันทึกชีวิตในไต้หวัน:การแข่งขันวิ่งวิบากที่พาคุณย้อนกลับไปเป็นวัยเด็กอีกครั้ง ft. พี่แพรแห่งผิงเคอต้า แชร์ประสบการณ์สปาร์ตันในไต้หวัน

  • 21 May, 2023
บันทึกชีวิตในไต้หวัน
พี่แพรแห่งผิงเคอต้า แชร์ประสบการณ์สปาร์ตันในไต้หวัน

      บันทึกชีวิตในไต้หวันสัปดาห์นี้ พาคุณผู้ฟังทุกท่านออกนอกสถานที่ ไปสัมผัสบรรยากาศการแข่งขันสปาร์ตัน เป็นการแข่งขันวิ่งวิบากที่ต้องวิ่งฝ่าด่านอุปสรรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การปีนป่าย ไต่เชือก ดึงเชือก โหนบาร์ แบกถุงทราบ อุ้มลูกเหล็กที่หนัก 30 กว่ากิโลกรัมเป็นต้น เป็นหนึ่งในการแข่งขันระดับโลก ที่จัดขึ้นในหลายๆประเทศทั่วโลก และเนื่องจากมีคนไทยที่เคยเรียนในไต้หวัน บินกลับมาไต้หวันเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันสปาร์ตัน บันทึกชีวิตไต้หวันในสัปดาห์นี้ จึงอยากจะพาคุณผู้ฟังทุกท่าน มาร่วมพูดคุยกับพี่แพร ถึงประสบการณ์การเข้าร่วมสปาร์ตันในไต้หวัน ว่ามีความแตกต่างจากสปาร์ตันที่จัดขึ้นในเมืองไทยอย่างไร รวมถึงชวนพูดคุยความรู้สึกและความประทับที่มีต่อไต้หวัน หลังจากไม่ได้กลับมาตั้งนาน คลิกฟังรายการที่นี่เลยค่ะ 

จับพลัดจับผลูมาเข้าร่วมวงการนี้ได้ยังไง

       ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ก่อนช่วงโควิด  ตอนนั้นเป็นครั้งแรกของสปาร์ตันไทยแลนด์และเราก็มีโอกาสเข้าร่วม  ก็รู้สึกว่าเป็นกีฬาที่แปลกใหม่ดี ไม่ใช่แค่การวิ่ง หรือวิ่งเทรล วิ่งในป่า แต่มันจะมีด่านร่วมด้วย ก็เลยลองดู ส่วนปีที่แล้วที่จัดที่ภูเก็ต เราก็อยากไปเที่ยวภูเก็ต ก็เลยเป็นการท่องเที่ยวเชิงกีฬา แล้วพอไต้หวันจัด เราก็ลยมีความรู้สึกอยากมาลองวิ่งสปาร์ตันที่จัดขึ้นในไต้หวันดูบ้าง  ก็เลยท่องเที่ยวเชิงกีฬาข้ามประเทศซะเลย กลับมาไต้หวันครั้งนี้ เพื่อมาเข้าร่วมการแข่งขันสปาร์ตันไต้หวันที่จัดขึ้นในนครเกาสงโดยเฉพาะ และเนื่องจากไม่ได้กลับมาไต้หวันตั้งนานแล้ว ก็คิดถึงที่นี่เหมือนกัน 

สปาร์ตันในไต้หวันเป็นไงบ้าง

        สปาร์ตันไต้หวันเขาค่อนข้างพร้อม ด้านอุปกรณ์ต่างๆ ด่านความปลอดภัย มีรถแอมบูแลนซ์ มีเจ้าหน้าที่ที่เขามาให้ความช่วยเหลือในจุดต่างๆค่อนข้างเยอะ ในทุกๆฐานก็มีสตาฟคอยบอกกติกาสำหรับชาวต่างชาติ  ถามว่าด่านไหนยากที่สุด จริงๆแพรยังไม่ได้ฝึกพวกฐานโหนบาร์ต่างๆ ก็เลยไม่สามารถทำผ่านด่านพวกนั้นได้ ซึ่งเราก็ท่าเบอร์บี้ทำโทษตัวเองไปตามกฎกติกาของเกมสำหรับคนที่ไม่ผ่านด่าน ซึ่งในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เราก็มีการซ้อมในส่วนของการยกเวท เพราะโดยปกติเป็นสายวิ่ง ช่วงแกนกลางลำตัว แขน ไหล่ ของเราไม่ได้มีกำลังขนาดนั้น จึงต้องมีการเพิ่มในส่วนนี้ 

       ส่วนความแตกต่างระหว่างที่ไทยและไต้หวัน คนไทยอาจจะไม่ได้ชอบกีฬาแนวนี้สักเท่าไหร่ ผู้ร่วมงานส่วนใหญ่ก็จะเป็นต่างชาติ ในทางกลับกัน  ที่นี่ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่กลับเป็นคนไต้หวันค่อนข้างเยอะกว่าชาวต่างชาติด้วยซ้ำ 

      ซึ่งจริงๆหากอยากให้กิจกรรมนี้เข้าถึงชาวต่างชาติมากขึ้น อาจจะเสริมในเรื่องของชัตเตอร์บัส หรือว่าข้อมูลข่าวสารในการเดินทาง คือรู้สึกว่าข้อมูลต่างๆในตอนนี้เข้าถึงค่อนข้างยาก และในเพจก็มีแต่ข้อมูลภาษาจีนซะส่วนใหญ่ อย่างของไทยจะค่อนข้างเฟรนด์ลี่กับชาวต่างชาติ ในเว็ปเขาจะทำสองภาษา จะทำให้เข้าใจพวกกฎกติกา การเดินทางง่ายกว่า และที่ไทยมีความร่วมมือกับพวกผู้ประกอบการ โรงแรมต่างๆ อย่างเช่น ใครที่มาเข้าร่วมการแข่งขัน หากไปพักในโรงแรมที่เข้าร่วมกิจกรรม ก็จะได้รับส่วนลด อะไรแบบนี้

กิจกรรมที่พาย้อนกลับไปเป็นเด็ก

มันเป็นกิจกรรมที่สนุก เหมือนได้ย้อนกลับไปเป็นวัยเด็กอย่างสมัยที่เราเข้าค่ายลูกเสือ เดินป่า ผ่านฐานต่างๆ คิดว่าก็คงมีแค่สปาร์ตันที่เขาจัดกิจกรรมแนวนี้ 

      สนุก แต่อากาศร้อนไปนิดหนึ่ง เพราะเราลงรอบ Open เวลาเกือบเที่ยง ซึ่งรอบ Open จะไม่มีการบันทึกเวลาในระดับโลก เพราะการแข่งขันสปาร์ตัน เขาจะมีการบันทึกเวลาการแข่งขันของนักกีฬาในแต่ละรุ่น แต่ละช่วงอายุ แต่ละระยะที่ลงแข่ง (แบ่งเป็น 5 กิโลเมตร และ 10 กิโลเมตร ) แต่เราเลือกลงเป็น Open มันก็จะเริ่มปล่อยตัวตั้งแต่ประมาณ 9 โมงเช้า ถึง 11 โมง พอดีเราตัดสินใจ เลยเหลือรอบ 11 โมงปล่อยตัว กว่าจะวิ่งเสร็จก็คือเวลาเที่ยงกว่า แดดเปรี้ยงมาก ตอนแข่งเสร็จก็ดูแอป อุณหภูมิขึ้นไปถึง 30 องศาเลยทีเดียว (หัวเราะ) 

       หากใครที่อยากจะลอง แต่ไม่มีประสบการณ์ อย่างน้อยๆก่อนแข่ง อาจจะมีการซ้อมวิ่ง ฝึกกำลังปอดไว้หน่อย เพราะว่าแต่ละฐานมันก็มีการเพิ่มความยากไปเรื่อยๆ เหนื่อยกว่าจะวิ่งปกติหน่อย อาจจะต้องซ้อมร่างกายให้มันมีความพร้อมสักนิดนึง ก็จะปลอดภัยกับตัวเอง แต่ถ้าไม่ผ่านด่าน เขาก็มีกติกาทำโทษ โดยให้ทำท่าเบอร์บี้ เป็นท่ากระโดดและทำท่าวิ่งพื้นต่อเนื่อง ตามกฎเดิมคือต้องทำ 30 ครั้ง แต่พอเราเป็นรุ่น Open เจ้าหน้าที่เขาก็ใจดี เขาก็ลดเหลือให้แค่ 3 รอบ (หัวเราะ)

เมืองแห่งการพักผ่อนที่ดี ความลงตัวระหว่างเมืองและธรรมชาติ

      เมื่อก่อน แพรเคยเรียนปริญาโทที่เมืองผิงตง หลังจากนั้นมาเรียนภาษาที่นครเกาสง ส่วนไทเปเคยไปเที่ยวบ้าง ทริปนี้เลยเริ่มเที่ยวจากกรุงไทเป สิ่งที่เห็นว่าเปลี่ยนไป คือจำนวนร้านค้าที่น้อยลง เข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะหลังจากช่วงโควิด อย่างเช่น ย่านซีเหมินติง ที่มีบรรยากาศคล้ายๆสยามที่กรุงเทพ มีวัยรุ่นเยอะ แต่ตอนไปรอบนี้ สังเกตเห็นว่าร้านค้าน้อยลงนิดหน่อย แต่พวกฟู้ดแพนด้า พวกเดลิเวอรี่ที่เมื่อก่อนที่เราอยู่ไม่เคยมี กลับมาคราวนี้ก็เห็นว่ามีเยอะแล้ว 

สิ่งที่ประทับใจที่สุดในไต้หวัน คือความเป็นธรรมชาติของที่นี่ มันเป็นการผสมผสานระหว่างเมืองกับธรรมชาติที่ค่อนข้างจะลงตัว

     เหมือนเราเห็นตึกที่มีการพัฒนาแล้ว แต่ว่าเราก็ยังเห็นพื้นที่สีเขียวตามจุดต่างๆ ภายในเมือง อย่างใกล้ๆที่พักที่เราพักในกรุงไทเป จะมีสวยสาธารณะใหญ่มากอยู่เลียบแม่น้ำ รู้สึกว่า เออมันดีจังเลย ซึ่งถ้าเทียบพื้นที่ระหว่างกรุงเทพ กับไทเป เราก็รู้สึกว่ากรุงเทพใหญ่กว่า แต่ว่าไทเปก็ยังมีพื้นที่สีเขียวเยอะกว่า 

      ไต้หวันเป็นเมืองแห่งการพักผ่อนที่ดีเหมือนกันนะ เขาจะมีซอฟต์พาวเวอร์ของเขาในการพรีเซนต์ในเรื่องอาหาร ในเรื่องแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ แม้ว่าบางจุดมันอาจจะไม่ได้มีอะไรเยอะแยะ แต่เขาสามารถทำให้ที่ตรงนั้นเป็นที่ท่องเที่ยว เช่นอาจจะเป็นน้ำพุร้อนเล็กๆ แต่เขาสามารถพัฒนาสถานที่แห่งนั้น ทำให้คนแถวนั้นมีอาชีพมากขึ้น 

      โดยรวมรู้สึกว่า คนไต้หวันค่อนข้างมีระเบียบในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทิ้งขยะ การเข้าแถว การใช้ของส่วนรวม อย่างเรื่องการทิ้งขยะ แม้ว่ามันจะไม่ได้สมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็น แต่ตเราก็ยังเห็นว่าในทุกๆจุด คนไต้หวันเขามีนิสัยในการแยกขยะที่ถูกต้อง แล้วเราจะเห็นว่าบ้านเมืองเขาสะอาด ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดี ถ้าทุกคนบนโลกใบนี้มีพื้นฐานในการแยกขยะที่ดี การจัดการขยะหลังจากนั้นมันก็จะง่าย มันอาจจะทำให้รัฐบาลเสียเงินน้อยลง เอาไปพัฒนาอย่างอื่นได้ ส่วนในเรื่องการเข้าแถว จริงๆ ก็รู้สึกประทับใจตั้งแต่มาครั้งแรก พวกเขาจะเข้าแถวในทุกๆอย่าง สมมุติอยากถ่ายรูปจุดๆหนึ่ง เขาก็จะต่อแถว ไม่แย่งกันเข้าไป คือสิ่งเหล่านี้มันทำให้เราอยู่ร่วมกันง่ายขึ้น 

 

 

 

ผู้จัดรายการ

ความคิดเห็นที่เกี่ยวข้อง