เข้าสู่เดือนพฤษภาคมแล้ว ในเดือนนี้มีหนึ่งในวันสำคัญของชาวไต้หวัน นั่นก็คือวันแม่แห่งชาติ ซึ่งไต้หวันยึดเอาวันแม่สากลคือวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม เป็นวันแม่ของไต้หวัน ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 11 พฤษภาคม เพื่อแสดงถึงความกตัญญูต่อผู้เป็นแม่ ถึงแม้วันแม่ของไต้หวันจะไม่ใช่วันหยุดราชการ แต่เนื่องจากตรงกับช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หลายครอบครัวจึงมักจะพาแม่ไปทานอาหารนอกบ้านในวันนั้นหรือช่วงนั้น พร้อมของขวัญพิเศษ หรือดอกคาร์เนชั่น ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำวันแม่สากลให้แม่ เพื่อแสดงความรักที่มีต่อแม่ บันทึกชีวิตวันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับวันแม่สากล และวันแม่ของประเทศต่างๆ ตลอดจนกิจกรรมช่วงวันแม่ในไต้หวันไปพร้อมกันค่ะ คลิกฟังรายการที่นี่
จุดเริ่มต้นของวันแม่สากล เริ่มต้นในสหรัฐอเมริกาโดยนางแอนนา จาร์วิส (Anna Jarvis) หญิงชาวอเมริกันที่ใช้ชีวิตกับแม่มาโดยตลอด แม่ของแอนนาเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และได้เสนอแนวคิดในการกำหนดวันรำลึกถึงบรรดาแม่ผู้เสียสละ น่าเสียดายที่แนวคิดนี้ยังไม่ทันเป็นจริง แม่ของเธอก็เสียชีวิตไปเสียก่อน ในปี ค.ศ. 1907 แอนนาจึงเริ่มจัดงานรำลึกถึงแม่ และยื่นคำร้องให้กำหนดวันแม่เป็นวันหยุดตามกฎหมาย วันแม่จึงเริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1908 ที่รัฐเวสต์เวอร์จิเนียและรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ต่อมาในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1914 ประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) ของสหรัฐอเมริกาจึงได้ประกาศให้วันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติของสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ จากนั้น วันแม่จึงได้รับความนิยมแพร่หลายไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการระลึกถึงและแสดงความกตัญญูต่อแม่
ดอกคาร์เนชั่น ดอกไม้ประจำวันแม่สากล (ภาพ CNA)
เหตุใดดอกคาร์เนชั่น จึงเป็นดอกไม้ประจำวันแม่สากล
ดอกคาร์เนชั่นเป็นดอกไม้ที่แม่ของแอนนาโปรดปรานที่สุด เมื่อถึงวันครบรอบการจากไปของแม่ แอนนาใช้ดอกคาร์เนชั่นสีขาวรำลึกถึงท่าน ทำให้ดอกคาร์เนชั่นกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งวันแม่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ในปัจจุบัน ดอกคาร์เนชั่นแต่ละสี มีความหมายที่แตกต่างกัน โดยดอกคาร์เนชั่นสีแดง สื่อถึงความรักที่สดใสของแม่ เป็นการอวยพรให้คุณแม่สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว ดอกคาร์เนชั่นสีชมพู สื่อถึงการอวยพรให้แม่สวยและอ่อนเยาว์อยู่เสมอ ดอกคาร์เนชั่นสีเหลือง ให้ความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน สื่อถึงความขอบคุณที่ไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนดอกคาร์เนชั่นสีขาว จะใช้สำหรับการไว้อาลัย รำลึกถึงคุณแม่ที่จากไป สื่อถึงความรักที่ความบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูก
ในวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม ดอกไม้ที่แทนแม่คือ “ดอกเดย์ลิลลี่” ซึ่งมีชื่อเรียกจีนโบราณอีกอย่างหนึ่งว่า ว่างโยวเฉ่า (忘憂草) แปลว่า“ดอกคลายความทุกข์” ในสมับโบราณ เมื่อลูกต้องจากบ้านไปไกล มักจะปลูกดอกเดย์ลิลลี่ไว้ที่หน้าบ้านของแม่ เพื่อแสดงถึงความกตัญญู และดอกไม้ที่เจริญเติบโตงอกงามนี้ ยังเปรียบเสมือนตัวแทนของลูกที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและปลอดภัยในต่างแดน ซึ่งช่วยบรรเทาความคิดถึงของแม่ที่มีต่อลูกได้อีกด้วย
ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในไต้หวัน (ภาพ chinatimes)
วันแม่ในวัฒนธรรมต่างๆ
ความกตัญญูกตเวทีถือเป็นคุณธรรมที่สำคัญที่สุดในวัฒนธรรมจีน การแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ถือเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติเป็นประจำทุกวันตลอดชีวิต จึงไม่มีการกำหนดวันพิเศษเพื่อเป็นวันพ่อหรือวันแม่อย่างเป็นทางการ และในปัจจุบัน พื้นที่ต่าง ๆ ในเขตวัฒนธรรมจีนจึงยังไม่มีการกำหนดให้วันแม่เป็นวันหยุดราชการตามกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงได้รับเอาอิทธิพลการเฉลิมฉลองวันแม่ของสหรัฐฯเข้ามา
ที่ไต้หวัน แม้ว่าวันแม่จะไม่ใช่วันหยุดราชการ แต่เนื่องจากตรงกับวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ จึงมักมีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองอย่างคึกคัก ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารต่างจัดโปรโมชั่นพิเศษเนื่องในวันแม่ ประชาชนมักพาแม่ไปรับประทานอาหารนอกบ้าน รวมถึงมอบดอกคาร์เนชั่น เค้ก การ์ด ของขวัญ เงินอั่งเปาหรือของกำนัลต่าง ๆ ให้แก่แม่และญาติผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิง หรือวิดีโอคอลหาแม่ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป การเลือกของขวัญวันแม่ก็หลากหลายมากขึ้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ดอกคาร์เนชั่นเพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีต
สำหรับที่จีนแผ่นดินใหญ่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เริ่มมีการเสนอให้ใช้วันที่ 2 เดือน 4 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน ซึ่งเป็นวันเกิดของแม่ของเม่งจื้อ นักปราชญ์จีน เป็นวันแม่ และเรียกวันนี้ว่า “วันแม่แห่งวัฒนธรรมจีน” (中華母親節) เนื่องจากเรื่องเล่า “ มารดาเมิ่งจื่อย้ายบ้าน 3 ครา” (孟母三遷) ที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามของแม่ในการอบรมเลี้ยงดูบุตรให้เติบโตเป็นคนดี เรื่องนี้จึงแพร่หลายอย่างมากในวัฒนธรรมจีน และแม่ของเม่งจื้อก็มักถูกยกย่องให้เป็นต้นแบบของแม่ในวัฒนธรรมจีน
ไต้หวันและอีกหลายประเทศทั่วโลกกำหนดให้วันแม่เป็นวันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคม ตามวันแม่สากล แต่ก็ยังมีอีกหลายประเทศที่กำหนดวันและรูปแบบการเฉลิมฉลองวันแม่ แตกต่างกันไปตามขนบธรรมเนียมและประเพณีของตน หนึ่งในนั้นก็คือ ประเทศไทยได้กำหนดให้วันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นวันแม่แห่งชาติ โดยเริ่มใช้วันดังกล่าวเป็นวันแม่แห่งชาติอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2519 และกำหนดให้ดอกไม้ประจำวันแม่ของไทยคือดอกมะลิ โดยสีขาวของดอกมะลิสื่อถึงความรักบริสุทธิ์ และดอกมะลิออกดอกตลอดปี ส่งกลิ่นหอมไกล สื่อถึงความรักยาวนาน ไม่เสื่อมคลาย
วันแม่ของอินโดนีเซียตรงกับวันที่ 22 ธันวาคม ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมเฉลิมฉลองที่สำคัญที่สุดก็คือ การที่ลูก ๆ จะนำน้ำมาล้างเท้าให้แม่ เพื่อแสดงออกถึงความกตัญญู และเพื่อให้พวกเขาได้ตระหนักถึงความเหน็ดเหนื่อยและเสียสละของแม่มากยิ่งขึ้น
สำหรับเวียดนาม แม้ว่าเวียดนามจะไม่มีการกำหนดวันแม่อย่างเป็นทางการ แต่เวียดนามมีวันสตรีสองวัน ได้แก่วันที่ 8 มีนาคมซึ่งเป็นวันสตรีสากล และวันที่ 20 ตุลาคมซึ่งเป็นวันสตรีเวียดนาม โดยวันที่ 20 ตุลาคมจะได้รับความสำคัญมากกว่าวันสตรีสากล เนื่องจากเป็นวันที่จัดขึ้นเพื่อแสดงความขอบคุณและรำลึกถึงบทบาทของสตรีเวียดนามในการต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศ และในวันดังกล่าวจึงมักมีการเฉลิมฉลองเสมือนเป็นวันแม่อีกด้วย
ส่วนญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากสหรัฐอเมริกา กำหนดให้วันแม่ตรงกับวันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคมเช่นกัน นอกจากการมอบดอกคาร์เนชั่นให้คุณแม่แล้ว ญี่ปุ่นยังมีธรรมเนียมอีกอย่างคือ ลูกๆจะติดดอกผีเสื้อไว้ที่หน้าอก แสดงถึงคุณธรรมอันสูงส่ง หากคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่จะใช้ดอกสีแดง แต่หากคุณแม่ล่วงลับไปแล้วจะใช้ดอกสีขาวเพื่อไว้อาลัย
ส่วนที่ประเทศเกาหลีใต้ ไม่มีการแยกวันพ่อและวันแม่ แต่กำหนดให้อยู่ในวันเดียวกัน คือวันที่ 8 พฤษภาคม เรียกว่าวันพ่อแม่ โดยใช้ดอกคาร์เนชั่นสีแดงเป็นสัญลักษณ์ของวันนี้ เฉกเช่นเดียวกันกับวันแม่สากล
งานวันแม่ที่ไถหนาน จัดกิจกรรมล้างเท้า-ยกน้ำชาให้แม่ (ภาพ chinatimes)
งานวันแม่ที่ไถหนาน จัดกิจกรรมล้างเท้า-ยกน้ำชาให้แม่
ในช่วงก่อนวันแม่ปีนี้ สมาคมป้องกันและต่อต้านโรคมะเร็งแห่งนครไถหนาน ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมความกตัญญูที่เขตเหรินเต๋อ นครไถหนาน ซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 7 แล้ว โดยกิจกรรมหลัก 3 ได้แก่ การชำระเท้าเพื่อแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ การชงชาเพื่อตอบแทนบุญคุณการเลี้ยงดู" และการใช้เวลาร่วมกันในครอบครัวอย่างมีความสุข โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมและปลูกฝังวัฒนธรรมความกตัญญูให้แพร่หลายในสังคม
คุณหลินกั๋วหมิง (林國明) ผู้อำนวยการสมาคมกล่าวว่า ผู้คนในยุคปัจจุบันมีชีวิตที่เร่งรีบ มักละเลยการใช้เวลากับครอบครัว อีกทั้งยังเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจากการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลาและการพักผ่อนไม่เพียงพอ สมาคมจึงจัดกิจกรรมส่งเสริมความกตัญญูนี้ขึ้น ไม่เพียงเพื่อกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว แต่หวังว่าจะเป็นการเตือนให้ทุกคนเห็นความสำคัญของสุขภาพและความรักความห่วงใยในครอบครัว สร้างบรรยากาศสังคมที่กลมกลืนและอบอุ่น
นายกัวหงอี (郭鴻儀) สมาชิกสภาเทศบาลนครไถหนานกล่าวว่า คุณแม่คือผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ วันแม่ไม่ควรมีแค่การรับประทานอาหารดี ๆ หรือมอบดอกไม้เท่านั้น หวังว่ากิจกรรมเช่นนี้จะช่วยส่งเสริมจิตวิญญาณแห่งความกตัญญูให้เกิดขึ้น และสืบเนื่องจากนครไถหนานมีประชากรผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่มากถึง 36,000 คน ซึ่งถือเป็นกลุ่มประชากรสำคัญ และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไต้หวัน จึงได้เรียนเชิญครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เข้าร่วมกิจกรรมนี้เป็นครั้งแรก เพื่อแสดงให้เห็นถึงการหลอมรวมของชาติพันธุ์ต่าง ๆ นอกจากนี้หวังว่า การเชิญชวนให้ลูกหลานเข้าร่วมกิจกรรมล้างเท้า ยกน้ำชาให้ผู้ปกครอง จะช่วยปลูกฝังให้เด็ก ๆ ระลึกถึงและรู้จักขอบคุณผู้มีพระคุณตั้งแต่เยาว์วัย
นางซูหงเซียน (蘇虹鮮) ประธานสมาคมส่งเสริมการเติบโตของครอบครัวผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในนครไถหนาน ซึ่งเป็นชาวเวียดนามและเป็นคุณแม่ลูกสี่ กล่าวว่า แม้ว่าที่เวียดนามจะไม่มีวันแม่ แต่ก็มีการเฉลิมฉลองในวันสตรีสากล 8 มีนาคม และเมื่อมาอยู่ไต้หวัน เธอก็ปรับตัวตามวัฒนธรรมท้องถิ่ และร่วมเฉลิมฉลองวันแม่ เธอกล่าวว่า ชาวต่างชาติจากหลายประเทศที่มาเป็นผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในไต้หวัน ต่างก็ตั้งตารอวันแม่ด้วยความตื่นเต้น พร้อมกล่าวว่า “การเป็นแม่ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” ปัจจุบัน สมาคมฯนี้มีสมาชิกผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จากประเทศเวียดนาม ไทย อินโดนีเซียและจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งบรรดาคุณแม่เหล่านี้ต่างก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และส่งต่อพลังสนับสนุนไปยังลูก ๆ รุ่นที่สองของพวกเธอด้วย
เธอซึ่งแต่งงานมาอยู่ไต้หวันนานกว่า 20 ปี กล่าวว่า รัฐบาลไต้หวันให้การดูแลผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นอย่างดีทั้งในด้านการศึกษาครอบครัวและด้านสวัสดิการสังคม การเข้าถึงข้อมูลสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เพิ่งมาในปัจจุบันก็ดีกว่าเมื่อ 20 ปีก่อนมาก เธอยังกล่าวถึงความปรารถนาในวันแม่ว่า อยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับประเด็นการศึกษาและการจ้างงานของ "ลูกหลานผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่รุ่นที่สอง" เพื่อให้คนรุ่นใหม่มีโอกาสในการเติบโตที่ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีพี่น้องที่แต่งงานมาอยู่ไต้หวันในยุคก่อนหลายคน เมื่อบุตรหลานเติบโตขึ้นแล้ว ต่างก็ปรารถนาที่จะกลับไปเรียนต่อเพื่อชดเชยโอกาสทางการศึกษาที่ขาดหายไปในอดีต จึงหวังว่ารัฐบาลจะสามารถจัดสรรทรัพยากรสนับสนุนในด้านนี้ให้ด้วย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และบุตรธิดาใช้ชีวิตในไต้หวันได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น