ผู้นำไต้หวันย้ำสงครามไม่มีผู้ชนะ พร้อมกระชับความร่วมมือกับพันธมิตรหุ้นส่วนของไต้หวันเพื่อปกป้องสันติภาพ
เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา มูลนิธิประชาธิปไตย ได้จัดกิจกรรม “วันสากลรำลึกฮอโลคอสต์ ” (International Holocaust Remembrance Day” หรือเป็นการรำลึกเหตุการณ์สังหารหมู่นานาชาติ 2025” ที่ไทเปเกสต์เฮ้าส์ กรุงไทเป โดยประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวันได้รับเชิญให้เป็นประธานในพิธีจุดเทียนไว้อาลัยชาวยิวที่ถูกสังหารหมู่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมทั้งฟังการกล่าวปาฐกถาของบุตรหลานผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว
ประธานาธิบดีไล่ฯ ได้กล่าวสุนทรพจน์ย้ำว่า สันติภาพมีคุณค่าอนันต์ สงครามไม่มีผู้ชนะ ไต้หวันจะจับมือกับพันธมิตรประชาธิปไตยต่อไปให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ปกป้องเสถียรภาพและสันติภาพในภูมิภาค
ปธน. ไล่ชิงเต๋อ (คนยืน) กล่าวในงาน “วันสากลรำลึกฮอโลคอสต์ ” (International Holocaust Remembrance Day”
พิธีรำลึก“เหตุการณ์สังหารหมู่นานาชาติ 2025” ครั้งนี้ได้เชิญ Orly Sela หลานสาวของเหยื่อที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เล่าเรื่องราวของคุณย่า พร้อมด้วยเรื่องราวเสื้อกั๊กไหมพรมที่ถักด้วยฝีมือของคุณย่า หลังการบรรยายประธานาธิบดีไล่ฯ พร้อมด้วยนายอู๋จาวเซี่ยน เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายหานกั๋วอวี่ ประธานมูลนิธิประชาธิปไตย กับแขกผู้มีเกียรติ 6 ท่านร่วมกันจุดเทียนไว้อาลัยชาวยิวจำนวน 6 ล้านคนที่ถูกสังหารหมู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมทั้งแสดงความคารวะต่อเหยื่อที่รอดชีวิตและญาติของเหยื่อที่เสียชีวิตในเหตุการณ์เหล่านี้ด้วย
Orly Sela หลานสาวของเหยื่อที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โชว์เสื้อกั๊กของคุณย่า
ผู้นำไต้หวันกล่าวว่า ปีนี้เป็นปีแห่งการครบรอบ 80 ปี การยุติลงของสงครามโลกครั้งที่ 2 ่แต่ก็ยังเห็นไฟสงครามกระจายอยู่ทั่วโลก ลัทธิอำนาจนิยมกำลังคืบคลานกลับคืนมา ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชาธิปไตย สันติภาพ และการพัฒนาให้โชติช่วงชัชวาลย์ของโลก กิจกรรมรำลึกในวันนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการระลึกเรื่องราวในอดีตเท่านั้น หากยังเป็นสิ่งเตือนใจในอนาคตด้วย เตือนพวกเราว่า ความโกรธแค้น ความเอนเอียง และความสุดขั้วเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อมนุษยชาติ ส่วนการรู้จักผิดชอบชั่วดี ธรรมะ ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน จะเป็นพลังสำคัญในการต่อสู้กับความรุนแรงและเผด็จการ อำนาจนิยม
ฝ่ายค้านจับมือหวังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เศรษฐกิจและความยุติธรรม
ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมืองในไต้หวัน ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา อึมครึมไปด้วยความพยายามของซีกรัฐบาลที่จะสกัดการเคลื่อนไหวเพื่อถอดถอนนักการเมืองซีกรัฐบาลของฝ่ายค้าน ใช้กลไกกฎหมายบ้านเมืองเข้าตรวจค้นที่ทำการพรรคก๊กมินตั๋งหลายท้องที่และควบคุมตัวเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นของพรรคก๊กมินตั๋งหลายคน ในข้อหาปลอมแปลงเอกสารการยื่นถอดถอนนักการเมืองซีกรัฐบาล และก็ได้ยึดเอกสารหลักฐานต่าง ๆ จำนวนมาก ตลอดจน เจ้าหน้าที่ของพรรคก๊กมินตั๋งก็ยอมรับว่าได้ลงลายมือชื่อแทนผู้ที่มีรายชื่อสนับสนุนการถอดถอนในแบบฟอร์มถอดถอนด้วย ในขณะที่นายจูลี่หลุน หัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋งได้ระดมสมาชิก และผู้สนับสนุนนับร้อยชุมนุมประท้วงหน้าที่ทำการสำนักอัยการไทเปที่ควบคุมตัวผู้อำนวยการสำนักงานพรรคก๊กมินตั๋ง สาขากรุงไทเป ไปสอบสวน กระทั่งปล่อยตัวในวันรุ่งขึ้น อย่างไรก็ดี เนื่องจาก สำนักอัยการเป็นเขตหวงห้ามห้ามการชุมนุม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ชูป้ายเตือนหลายครั้งว่า เป็นพฤติกรรมผิดกฎหมาย แต่ก็ไร้ผล โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเชิญนายจูลี่หลุนมารับทราบข้อกล่าวหาและให้ปากคำในเรื่องนี้
นอกจากนี้ ประเด็นการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่เสนอโดยนายเจี่ยงว่านอัน ผู้ว่าการกรุงไทเป ระหว่างการชุมนุมประท้วงดังกล่าว ก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันของกลุ่มพรรคฝ่ายค้าน โดยนายจูลี่หลุน หัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋งได้พบหารือกับนายหวงกั๋วชาง หัวหน้าพรรคประชาชนไต้หวันหรือ TPP ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้านอีกพรรคหนึ่งที่เป็นเสียงข้างน้อยแต่อาจเป็นตัวชี้ขาดในการลงมติต่าง ๆ ในสภา เพื่อปรึกษาหารือและหาจุดยืนร่วมกันในการคานอำนาจรัฐบาล แม้นายหวงฯ จะไม่เห็นด้วยกับการเสนอญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาล แต่ก็มีจุดยืนที่ต้องการคานอำนาจรัฐบาลของประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ เนื่องจากเขาเห็นว่า การเสนอญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาลไม่อาจสกัดกั้นหรือแก้ปัญหาในปัจจุบันได้ แต่จะมุ่งต่อสู้เพื่อปกปัองประชาธิปไตยไต้หวัน
หลังการพบหารือดังกล่าว ทั้งสองพรรคฝ่ายค้านเห็นพ้องกันใน 3 หลักการ ได้แก่ การต่อสู้ร่วมกันเพื่อเศรษฐกิจ ประชาธิปไตย และความบริสุทธิ์ยุติธรรมในกระบวนการตุลาการ จนถึงที่สุด นอกจากนี้ นายหวงฯ ยังได้กล่าวย้ำว่าตนได้เข้าร่วมการชุมนุมที่ลานหน้าทำเนียบประธานาธิบดีไต้หวันในวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งจัดโดยพรรคก๊กมินตั๋งในฐานะตัวแทนของพรรคประชาชนไต้หวัน
ในการพบหารือดังกล่าวทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจร่วมกันว่า การต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์สีแดงจะต้องต่อต้านคอมมิวนิสต์สีเขียวด้วย ซึ่งเขาหมายถึงพรรค DPP ที่ถูกกล่าวหาว่ากำลังก้าวสู่การเป็นพรรคการเมืองเผด็จการในไต้หวัน ซึ่งนายจูลี่หลุนย้ำว่า ประชาชนต้องการแสดงความไม่ไว้วางใจต่อประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ มากกว่าการไม่ไว้วางใจรัฐบาล ส่วนนายหวงฯ ก็มีความเห็นว่า การไม่ไว้วางใจรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาความเป็นเผด็จการผูกขาดอำนาจโดยประธานาธิบดีไล่ฯ
อย่างไรก็ดีภายในพรรคก๊กมินตั๋งยังคงมีข้อโต้แย้งในเรื่องนี้พอสมควร อย่างนายจ้าวเส้าคัง อดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งรองประธานาธิบดีของพรรคก๊กมินตั๋งซึ่งมีอิทธิพลในพรรคพอสมควรมีความเห็นว่า ควรเสนอญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาล เพื่อเปลี่ยนสถานะจากการเป็นฝ่ายรับให้กลายเป็นฝ่ายรุก
ทั้งนี้ การผ่านญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ จะต้องได้รับเสียงสนับสนุนจาก สส. ในสภาฯ เกินกึ่งหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันทั้งพรรค DPP และพรรคก๊กมินตั๋งต่างมีเสียงไม่เพียงพอ จำเป็นต้องพึ่งเสียงจากพรรคประชาชนไต้หวัน จึงจะสามารถผ่านญัตติดังกล่าวได้ ในขณะที่พรรคประชาชนไต้หวันได้แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการเสนอญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาล จึงคงยากที่จะผลักดันในเรื่องนี้ได้
รมว. กต. ไต้หวันโอดถูกตัดงบประมาณ อาจทำให้สถานทูตและสำนักงานในต่างประเทศต้องหยุดให้บริการ และไม่มีงบจัดจ้างจัดทำหนังสือเดินทางด้วย
นายหลินเจียหลง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไต้หวัน สาธารณรัฐจีน ได้ระบุในการตอบกระทู้ของ สส. ในสภาฯว่า การตัดทอนงบประมาณของกระทรวงการต่างประเทศ ได้ส่งผลกระทบต่อการจัดจ้างเพื่อจัดทำหนังสือเดินทางให้แก่ประชาชน ซึ่งในวันเดียวกัน กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ไต้หวัน ที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า งบประมาณที่ได้รับในปีนี้สามารถจัดทำหนังสือเดินทางได้เพียง 1.85 ล้านเล่มเท่านั้น แต่จากการประเมิณเบื้องต้นพบว่า มีความต้องการหนังสือเดินทางเล่มใหม่จำนวน 2.09 ล้านเล่ม โดยกรมการกงสุลจะต้องสต๊อกหนังสือเดินทางไว้อย่างน้อย 5 แสนเล่ม เพื่อให้ประชาชนสามารถยื่นขอหนังสือเดินทางได้โดยราบรื่น
กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันชี้แจงเพิ่มเติมว่า หลังจากการระบาดของโควิดทุเลาลง ประชาชนมีความต้องการเดินทางไปต่างประเทศและต้องการยื่นขอหนังสือเดินทางเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปีนี้ความต้องการยื่นขอหนังสือเดินทางเริ่มลดลง แต่ในช่วงระหว่างวันที่ 1 ม.ค. - 18 เม.ย. มีผู้ยื่นขอมีหนังสือเดินทางแล้ว 7.2 แสนเล่ม และคาดว่า ในปีนี้จะมีผู้ยื่นขอหนังสือเดินทางประมาณ 2.09 ล้านเล่ม อย่างไรก็ดี งบประมาณที่ถูกตัดทอนลงเหลือเพียงพอต่อการจัดทำหนังสือเดินทางเพียง 1.85 ล้านเล่มเท่านั้น
อย่างไรก็ดี กระทรวงการต่างประเทศ ไต้หวันได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า จำนวนหนังสือเดินทางที่ยังคงขาดเหลืออยู่ประมาณ 2.5 แสนเล่ม จะใช้วิธีการนำเอาหนังสือเดินทางในสต๊อกจำนวน 5 แสนเล่มมาเสริมให้ครบตามจำนวนความต้องการของประชาชน