ดัชนีอุตสาหกรรมเดือน มี.ค. กระฉูดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 เหตุ AI มีความต้องการสูงเข้มข้น
เนื่องจากตลาดโลกมีความต้องการชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อัจฉริยะหรือ AI ค่อนข้างเข้มข้น กระทรวงเศรษฐการไต้หวันได้ประกาศตัวเลขดัชนีอุตสาหกรรมประจำเดือน มี.ค. ปีนี้ว่า มีการเติบโตขึ้นถึง 13.65% โดยภาคการผลิตเติบโตถึง 14.71% ทุบสถิติรายเดือนในช่วงที่ผ่านมาและเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13
ดัชนีภาคอุตสาหกรรมเดือน มี.ค. ของไต้หวันอยู่ที่ 106.1 เติบโตต่อปี 13.65% โดยในส่วนของภาคการผลิตอยู่ที่ 106.89 เติบโตต่อปี 14.71% สูงสุดในช่วงเดียวกันของทุกปีที่ผ่านมา และต่อเนื่อง 13 เดือน ส่วนดัชนีอุตสาหกรรมสะสมในช่วง 3 เดือนแรกอยู่ที่ 98.3 เติบโตต่อปี 11.95% ส่วนภาคการผลิตอยู่ที่ 98.77 เพิ่มขึ้น 12.79% ต่อปี
นายหวงเว่ยเจี๋ย รองอธิบดีกรมสถิติ กระทรวงเศรษฐการไต้หวันระบุว่า ได้รับอานิสงส์จากความร้อนแรงของความต้องการอุปกรณ์เอไอ คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง และการบริการคลาวด์ ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมไอทีเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมดั้งเดิมบางส่วนก็ได้รับอานิสงส์จากการแข่งขันและความต้องการในตลาดที่หดตัวลงทำให้การผลิตลดลงบางส่วน หักลบกันแล้วก็ยังอยู่ในสภาพเติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้ เขายังระบุว่า ตอนนี้เริ่มเห็นปรากฎการณ์การสั่งสินค้าเพิ่มเติมเพื่อสต๊อกสินค้ารับมือล่วงหน้าการจัดเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ส่วนความต้องการอุปกรณ์เอไอที่เกี่ยวข้องยังคงไม่มีแนวโน้มที่ชะลอตัวลงแต่อย่างใด
รมว. แรงงานลั่น ปกป้องสิทธิประโยชน์ผู้ใช้แรงงานนับแสน ห้ามปลดก่อนเกิดเหตุผลกระทบจากภาษีศุลกากรสหรัฐฯ เด็ดขาด
ผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรแบบเท่าเทียมของผู้นำสหรัฐฯ แผ่ออกไปเป็นวงกว้าง ซึ่งไต้หวันก็ได้รับผลกระทบด้วย แม้จะมีเวลาหายใจต่ออีก 90 วัน เพื่อเจรจากับสหรัฐฯ แต่วันเวลาก็ขยับใกล้เข้ามาทุกขณะ
นายหงเซินฮั่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานไต้หวันได้ประกาศผ่านการสัมภาษณ์พิเศษรายการออนไลน์รายการหนึ่งเตือนนายจ้างอย่าได้ปลดพนักงานโดยที่ยังไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ เพื่อหลบเลี่ยงความรับผิดชอบ ซึ่งจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทั้งนี้ รมว. หงฯ ระบุว่า มาตรการดังกล่าวของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้แรงงานในไต้หวันนับแสน เนื่องจากภาคการผลิตของไต้หวันต้องพึ่งพาการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล อะไหล่รถยนต์ โลหะ และอุตสาหกรรมยาง พลาสติก ที่ส่วนใหญ่จะเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม แต่รัฐบาลก็ได้เตรียมเม็ดเงินเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการชะลอการปลดพนักงานหากจำเป็นจริง ๆ โดยเตรียมงบเยียวยาไว้แล้ว 1.5 หมื่นล้านเหรียญไต้หวัน จากกองทุนเพื่อความมั่นคงในการมีงานทำ ซึ่งรัฐบาลไม่ต้องการให้มีการปลดพนักงานโดยไม่จำเป็น หรือสั่งให้ลูกจ้างหยุดงานโดยไม่มีค่าจ้าง ทำให้ผู้ใช้แรงงานได้รับความเดือดร้อน
