1. สกัดการฟอกงาน! กระทรวงแรงงานไต้หวันเล็งออกกฎใหม่ จำกัดผู้อนุบาลย้ายงานข้ามตำแหน่งไปทำงานภาคการผลิตระหว่างสัญญา
สืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่รุนแรงต่อเนื่อง การเดินทางข้ามประเทศมีอุปสรรค ประกอบกับแรงงานอินโดนีเซียที่ครองสัดส่วนผู้อนุบาลในไต้หวันร่วม 80% เนื่องจากตรวจพบติดเชื้อโควิดจำนวนมาก ถูกระงับการเดินทางเข้าไต้หวันชั่วคราวมาตั้งแต่ปลายปี 2563 ที่ผ่านมา ส่งผลขาดแคลนแรงงานต่างชาติจำนวนมาก โดยเฉพาะตำแหน่งผู้อนุบาล เนื่องจากเป็นงานหนัก ทำงานอย่างไม่มีเวลาหยุดพักที่แน่นอน แถมค่าจ้างต่ำกว่าแรงงานภาคการผลิต ทำให้มีผู้อนุบาลที่ยังไม่ครบสัญญาขอโอนย้ายไปทำงานในโรงงาน หรือที่เรียกกันว่าฟอกงานกันมากขึ้น จากข้อมูลของกระทรวงแรงงานพบว่า ปี 2563 ที่ผ่านมาตลอดทั้งปี มีผู้อนุบาลยื่นขอโอนย้ายไปทำงานในโรงงาน 287 ราย แต่ปี 2564 เพียงแค่ 3 เดือนแรก ยื่นขอโอนย้ายไปทำงานในโรงงานแล้ว 1,023 ราย ตัวเลขพุ่งขึ้นอย่างน่าตกใจ หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป นายจ้างที่ต้องการจะว่าจ้างผู้อนุบาลจะประสบปัญหาอย่างหนัก
แค่ 3 เดือนแรกของปี 2564 มีผู้อนุบาลต่างชาติยื่นขอโอนย้ายไปทำงานในโรงงานแล้ว 1,023 ราย
ต่อสถานการณ์ดังกล่าว นางสวี่หมิงชุน รมว. กระทรวงแรงงานตอบกระทู้ถามของสมาชิกสภานิติบัญญัติว่า โดยหลักการแล้ว จะไม่อนุญาตให้ผู้อนุบาลโอนย้ายงานข้ามตำแหน่งไปทำงานภาคการผลิต ยกเว้นแต่ในกรณีได้รับการปฏิบัติจากนายจ้างอย่างไม่ถูกกฎหมาย เช่นมีการทำร้ายหรือผิดสัญญาจ้าง หรือนายจ้างเดิม นายจ้างใหม่และตัวผู้อนุบาลเองยินยอมย้ายงานทั้ง 3 ฝ่าย และนายจ้างใหม่ต้องมีคุณสมบัติว่าจ้างแรงงานต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ช่วงหลังๆ มีนายจ้างจำนวนมากร้องเรียนว่า ผู้อนุบาลของตนต้องการจะย้ายงานไปทำในโรงงาน เมื่อไม่ยอม ผู้อนุบาลจะใช้วิธีอู้งาน หรือแกล้งทำงานผิดพลาด เพื่อบีบให้นายจ้างยอมให้ตนย้ายงานได้ หากนายจ้างรายใดประสบปัญหาดังกล่าว สามารถร้องเรียนต่อกองแรงงานได้ หากตรวจสอบแล้วเป็นจริง กระทรวงแรงงานจะไม่อนุญาตคำร้องขอย้ายงานของผู้อนุบาลรายนั้นๆ และจากสภาพการณ์ดังกล่าว กระทรวงแรงงานกำลังทบทวนมาตรการการย้ายงานของผู้อนุบาล โดยมีแนวโน้มว่า จะออกกฎระเบียบใหม่ จำกัดผู้อนุบาลที่ยังทำงานไม่ครบสัญญาขอย้ายงานโดยไร้เหตุผล
เกาหงอัน ส.ส.พรรคฝ่ายค้านตั้งกระทู้ถาม รมว. กระทรวงแรงงาน มาตรการแก้ปัญหาการย้านไปทำงานที่โรงงานของผู้อนุบาลที่เพิ่มมากขึ้น
ต่อความเห็นของกระทรวงแรงงานข้างต้น กลุ่ม NGO ประท้วงว่า คัดค้านมาตรการห้ามย้ายงานข้ามตำแหน่งงาน และเรียกร้องให้บัญญัติกฎหมายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้ใช้แรงงานในครัวเรือนโดยเร็ว นางสาวเฉินซิ่วเหลียน นักวิจัยของสมาคมแรงงานสากลไต้หวันกล่าวว่า ผู้อนุบาลในครัวเรือนทำงานหนัก แต่ไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายมาตรฐานแรงงาน ไม่มีวันหยุด ทำงานโดยไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน แต่ละเดือนรับค่าจ้างเพียง 17,000 เหรียญไต้หวัน เทียบกับแรงงานภาคการผลิตที่มีเวลาทำงานและพักผ่อนที่แน่นอน มีโอกาสทำงานล่วงเวลาหรือโอที รับค่าจ้างตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำคือ 24,000 เหรียญไต้หวัน ขณะที่นางสาว Fajar Jasmin ผู้อนุบาลอินโดนีเซียที่เข้าร่วมการประท้วงในครั้งนี้กล่าวว่า เมื่อวันแรงงานที่ผ่านมา ผู้ใช้แรงงานทั่วไต้หวัน ต่างได้หยุดพัก 1 วัน แต่ผู้อนุบาลกลับไม่มีสิทธิ์ นอกจากนี้ ยังไม่มีประกันภัยแรงงาน ไม่ได้รับการคุ้มครองด้านแรงงานใดๆ ไม่ว่าจะเวลาทำงานและค่าจ้าง ยังคงอยู่ที่ 17,000 เหรียญไต้หวันมานานหลายปีแล้ว
ตัวแทนนายจ้างไปแสดงคามขอบคุณที่กระทรวงแรงงานจะตั้งกฎระเบียบใหม่ กำหนดให้ผู้อนุบาลต้องโอนย้ายไปทำงานในตำแหน่งเดียวกันก่อน
ต่อเสียงประท้วงดังกล่าว กรมพัฒนากำลังแรงงาน กระทรวงแรงงานออกแถลงการณ์ 4 ข้อดังนี้
1. แรงงานต่างชาติที่มาทำงานตำแหน่งผู้อนุบาล ก่อนการเดินทางได้รับทราบรายละเอียดการทำงานและกฎระเบียบแล้วว่า ไม่สามารถย้ายงานใหม่ได้ ยกเว้นมีเหตุที่ไม่ได้เกิดจากตัวแรงงานเอง และการย้ายงานจะต้องได้รับอนุญาตจากกระทรวงแรงงานก่อนจึงจะทำได้
2. เนื่องจากสถานการณ์โควิด ทำให้การนำเข้าแรงงานต่างชาติลดลงอย่างมาก การย้ายงานข้ามประเภทเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้อนุบาลบางรายเพื่อจะขอโอนย้ายไปทำงานในโรงงาน ใช้วิธีหยุดการทำงานบีบให้นายจ้างยินยอม ส่งผลต่อสิทธิประโยชน์ของนายจ้างและผู้ถูกดูแลอย่างมาก เพื่อความเป็นธรรมและคำนึงถึงความต้องการในการอนุบาลผู้ป่วย กระทรวงแรงงานกำลังร่างกฎระเบียบใหม่ โดยยึดหลักการว่า ให้นายจ้างภาคสวัสดิการสังคมเป็นผู้มีสิทธิ์รับโอนย้ายงานเป็นลำดับแรกก่อน หากเลยช่วงระยะหนึ่ง ยังไม่มีนายจ้างที่จะว่าจ้างผู้อนุบาล จึงจะอนุญาตให้ย้ายงานข้ามประเภทไปทำงานที่โรงงานได้
ขณะที่กลุ่ม NGO ประท้วงหน้ากระทรวงแรงงานที่เตรียมแก้กฎระเบียบสกัดการย้ายงานข้ามตำแหน่งของผู้อนุบาล
3. ผู้ใช้แรงงานในครัวเรือน ไม่ว่าจะแรงงานต่างชาติหรือแรงงานท้องถิ่น ล้วนไม่ได้อยู่ในบังคับใช้ของกฎหมายมาตรฐานแรงงาน แต่สิทธิประโยชน์และเงื่อนไขการทำงาน ได้ระบุในสัญญาจ้างอย่างชัดเจน และกระทรวงแรงงานกำลังหารือกับประเทศผู้ส่งออกแรงงานเกี่ยวกับปัญหาการปรับขึ้นค่าจ้างผู้อนุบาล พร้อมกันนี้ ยังขยายขอบข่ายการใช้มาตรการช่วยดูแลผู้ป่วยชั่วคราว แบ่งเบาภาระของผู้อนุบาล
4. ผู้อนุบาลที่ใช้วิธีอู้งาน แกล้งทำงานผิดพลาด หรือวิธีการอื่นๆ เพื่อบีบให้นายจ้างยอมให้ตนย้ายงานได้ หากถูกตรวจพบว่าเป็นจริง จะเพิกถอนใบอนุญาตทำงานและถูกส่งกลับประเทศ นายจ้างรายใดประสบปัญหาดังกล่าว สามารถร้องเรียนต่อกองแรงงานท้องที่ได้
NGO ประท้วงหน้ากระทรวงแรงงานที่เตรียมแก้กฎระเบียบสกัดการย้ายงานข้ามตำแหน่งของผู้อนุบาล
แรงงานต่างชาติที่เดินทางมาทำงานในตำแหน่งงานผู้อนุบาลและงานในโรงงาน ค่าบริการจัดหางานหรือค่าหัวคิวจะต่างกัน ผู้ที่เดินทางมาทำงานในตำแหน่งผู้อนุบาลจะเสียค่าหัวคิวถูกกว่ามาทำงานในโรงงาน ยกตัวอย่างผู้อนุบาลอินโดนีเซียเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 10,000 เหรียญ ถูกกว่ามาทำงานในโรงงานหลายเท่าตัว แต่เมื่อมาแล้ว เห็นค่าจ้างถูกกว่าคนที่ทำงานในโรงงาน ซึ่งได้ตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ทำงานเป็นเวลา มีโอกาสทำงานล่วงเวลา รวมถึงมีสวัสดิการต่างๆ ดีกว่า บางคนก็คิดจะโอนย้ายไปทำงานในโรงงาน จึงเกิดขบวนการฟอกงานให้ผู้อนุบาล ซึ่งเป็นนายหน้าเถื่อนและบริษัทจัดหางานรายเล็กและไร้คุณธรรม โดยเก็บค่าหัวคิวรอบสอง สำหรับบริษัทจัดหางานถูกกฎหมายทั่วไป จะไม่ให้บริการในลักษณะนี้ เนื่องจากจะสร้างปัญหาให้กับนายจ้างและทำให้ตลาดแรงงานเกิดการปั่นป่วน
มีผู้อนุบาลต่างชาติยื่นขอโอนย้ายไปทำงานในโรงงานเพิ่มมากขึ้น จนกระทรวงแรงงานเตรียมออกกฎระเบียบใหม่ให้ย้ายไปในตำแหน่งเดียวกันก่อน
2. คนงานไทยเมาทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน ใช้มีดจ้วงแทงอกเพื่อนที่กำลังตากผ้าเสียชีวิตแล้วหลบหนีไป ตำรวจตามจับได้ใน 3 ชม.
เมื่อคืนวันที่ 9 พ.ค. เกิดเหตุการณ์คนงานไทยแทงกันตายคดีหนึ่ง ที่หอพักแรงงานไทยของไซต์งานก่อสร้างโรงไฟฟ้ากวนถัน เขตกวนอิน นครเถาหยวน คนแทงมีอาการมึนเมาด้วยฤทธิ์สุรา ทะเลาะกับผู้ตายที่กำลังตากผ้า จนถึงขั้นกอดปล้ำ ชักมีดปอกผลไม้แทงที่หน้าอกซ้ายผู้ตาย 2 แผล จากนั้นหลบหนีไป เนื่องจากแทงลึกเข้าไปถึงขั่วหัวใจ ทำให้เสียเลือดมากและทนพิษบาดแผลไม่ไหว สิ้นลมหายใจระหว่างทาง เมื่อส่งถึงโรงพยาบาล แพทย์ทำการกู้ชีวิตอยู่นาน 2 ชั่วโมง แต่ไม่เป็นผล ตำรวจตามล่าคนแทง จับได้ในพงหญ้าบริเวณหลังหอพักหลังหลบหนีไปได้ 3 ชม.
ตำรวจได้เดินทางไปหอพักแรงงานไทยในไซต์งานก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่เขตกวนอิน เถาหยวน หลังได้รับแจ้งความเกิดเหตุการณ์คนงานไทยฆ่ากันเอง
นายสิวะ นามประสิทธิ์ อายุ 26 ปี มาจากชลบุรี และนายเดียว เพ็ญสวัสดิ์ อายุ 37 ปี จากอุดรธานี 2 แรงงานไทย พร้อมเพื่อนๆ รวม 30 คน เพิ่งจะเดินทางมาทำงานที่ไซต์งานก่อสร้างโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าไต้หวัน ในเขตกวนอิน นครเถาหยวน เมื่อกลางเดือนมีนาคมปีนี้ และเพิ่งจะครบกำหนดกักตัวและสังเกตอาการเข้าทำงานเมื่อวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมานี้เอง
ตำรวจเตรียมออกค้นหาคนงานไทยมือมีดที่แทงเพื่อนร่วมชาติเสียชีวิต
ในวันเกิดเหตุ เมื่อคืนวันที่ 9 พ.ค. เวลาประมาณ 20.00 น. เศษ นายเดียว กลับเข้ามาในหอพักด้วยอาการเมาสุรา และด่าว่าผู้ตายที่กำลังตากผ้าอยู่ในหอพัก ทั้งสองทะเลาะกันรุนแรง ถึงขั้นกอดปล้ำกัน ระหว่างนี้นายเดียวชักมีดปอกผลไม้ที่ซ่อนเหน็บไว้ในเอวออกมา จ้วงแทงหน้าอกข้างซ้ายของนายสิวะ เป็นแผลลึกเข้าไปที่ขั่วหัวใจ 2 แผล จากนั้นหลบหนีไป
นายเดียว หลังก่อเหตุหลบหนีไปซ่อนอยู่ในพงหญ้า บริเวณใกล้หอพัก ถูกตำรวจตามจับได้และส่งดำเนินคดีข้อหาฆ่าคน
เพื่อนๆ ในหอพักและล่ามได้โทรศัพท์แจ้งความ รถพยาบาลส่งนายสิวะรักษาฉุกเฉิน แต่ขณะไปถึงโรงพยาบาลนายสิวะสิ้นลมหายใจแล้ว แพทย์กู้ชีวิตนาน 2 ชั่วโมงไม่เป็นผล ส่วนนายเดียว หลังก่อเหตุหลบหนีไปซ่อนอยู่ในพงหญ้า บริเวณใกล้หอพัก ถูกตำรวจตามจับได้ในเวลา 23.00 น. ในคืนเดียวกัน ถูกส่งดำเนินคดีข้อหาฆ่าคน อัยการสั่งควบคุมตัวเพื่อรอขึ้นศาล
นี่ก็เป็นอีกคดีหนึ่งของแรงงานไทยที่แทงกันเองเสียชีวิต ทั้งนี้ สุราจัดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของแรงงานไทยในไต้หวัน นอกจากทะเลาะวิวาทฆ่ากันเอง และเป็นผลทำให้เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้ว ยังทำให้แรงงานไทยจำนวนไม่น้อยสุขภาพร่างกายทรุดโทรมหรือป่วยเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง จนถึงขั้นเสียชีวิต
มีดที่คนงานไทยใช้แทงเพื่อนร่วมชาติเสียชีวิต
จึงเตือนมาด้วยความหวังดีว่า ควรลดละเลิกในการดื่มสุรา ด้วยการขจัดค่านิยมว่าลูกผู้ชายต้องดื่มสุรา ทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดความสุขและผ่อนคลายแก่ตนเอง เช่น ดนตรี เล่นกีฬาเบาๆ ทำงานศิลปะ เป็นต้น หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เสี่ยง หรือตัวกระตุ้นเร้าให้อยากดื่ม เช่น ร้านขายสุรา เพื่อนที่ดื่ม หรือชวนไปปาร์ตี้ เป็นต้น บอกกับบุคคลในครอบครัวและคนใกล้ชิดว่าตนกำลังเลิกสุรา ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วย ปฏิเสธเพื่อนที่มาชวนดื่มว่า ตนกำลังมีปัญหาสุขภาพ อยากจะลด ละ เลิกการดื่มสุราลง
3. ระวังตกเป็นเครื่องมือ! 20 แรงงานฟิลิปปินส์หาลำไพพิเศษขายบัญชีธนาคารและช่วยฟอกเงิน ร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตุ๋นเงินชาวไต้หวันถูกจับ
เนื่องจากไต้หวันตรวจเข้มในเรื่องการฟอกเงินและการต้มตุ๋นเงินผ่านธนาคาร แก๊งคอลเซ็นเตอร์หัวใส อาศัยแรงงานฟิลิปปินส์ที่อยากหารายได้เสริมด้วยการยอมให้ใช้บัญชีเงินฝาก โดยได้ค่าตอบแทนร้อยละ 3 หรือครั้งละประมาณ 3,000-10,000 เหรียญไต้หวัน โดยคิดว่าเงินที่โอนเข้าบัญชีตนเป็นของเพื่อนแรงงานฟิลิปปินส์ที่ต้องการจะโอนเงินกลับบ้าน แต่หารู้ไม่ว่า ตกเป็นเครื่องมือช่วยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฟอกเงิน เพราะเงินที่โอนเข้าบัญชีของพวกเขา เป็นเงินของผู้เสียหายชาวไต้หวัน ตำรวจกรมสอบสวนคดีอาญาจับกลุ่มแรงงานฟิลิปปินส์แก๊งนี้ได้ 20 คน เป็นหญิง 15 ชาย 5 ทั้งหมดเป็นแรงงานถูกกฎหมาย หัวโจกคือนาย Eda บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตนได้เข้าร่วมขบวนการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตำรวจมีการขยายผลเพื่อตรวจสอบหาผู้บงการอยู่เบื้องหลังมาดำเนินคดี
ตำรวจจับนาย Eda แรงงานฟิลิปปินส์ถูกกฎหมาย ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ
โฆษกกรมสอบสวนคดีอาญาแถลงว่า ฝ่ายตำรวจตรวจพบคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์อาศัยสื่อโซเชียลต้มตุ๋นชาวไต้หวัน ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว โดยใช้ข้ออ้างลงทุนในต่างประเทศ หรือมีพัสดุต่างประเทศติดอยู่ที่ศุลกากร ต้องชำระเงินภาษีเป็นต้น ทำให้ชาวไต้หวันตกเป็นผู้เสียหายหลายสิบคน สูญเงินกว่า 5 ล้านเหรียญไต้หวัน และพบว่า ขบวนการนอกกฎหมายแก๊งนี้ เจาะจงให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของแรงงานฟิลิปปินส์ที่เปิดกับการไปรษณีย์ไต้หวัน จากนั้นให้แรงงานฟิลิปปินส์เจ้าของบัญชี ใช้บัตร ATM ถอนเงินออกมาจากนั้นนำไปโอนเข้าบัญชีธนาคารฟิลิปปินส์ตามกำหนด ด้วยเหตุผลโอนเงินค่าจ้างกลับบ้าน โดยการถอนเงินและการโอนเงินแต่ละครั้ง แรงงานฟิลิปปินส์จะได้รับค่าตอบแทนร้อยละ 3 หรือประมาณ 3,000-10,000 เหรียญ รายได้ค่อนข้างงาม ทำให้แรงงานฟิลิปปินส์มีการบอกกันปากต่อปาก แห่หารายได้เสริมด้วยวิธีดังกล่าว
ตำรวจจับนาย Eda และแรงงานฟิลิปปินส์ถูกกฎหมายอีกหลายคน ทำหน้าที่ช่วยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติฟอกเงิน
โฆษกกรมสอบสวนคดีอาญากล่าวว่า นาย Eda อายุ 35 ปี แรงงานฟิลิปปินส์ถูกกฎหมายเป็นตัวแทนแก๊งคอลเซ็นเตอร์แก๊งนี้ นาย Eda ดึงเพื่อนร่วมชาติ ซึ่งเป็นแรงงานถูกกฎหมาย 5 คน ทำหน้าที่เป็นผู้ถอนเงินที่โอนเข้าบัญชีของพวกเขาเอง จากนั้นนำเงินไปโอนเข้าบัญชีธนาคารฟิลิปปินส์ตามกำหนด แค่นี้ ก็จะได้ค่าตอบแทนครั้งละ 3,000-10,000 เหรียญไต้หวัน ตามแต่จำนวนเงินที่เหยื่อโอนเข้ามา
แรงงานฟิลิปปินส์จำนวนมากตกเป็นเครื่องมือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ช่วยถอนและโอนเงินกลับไปยังฟิลิปปินส์
ตำรวจกล่าวว่า นาย Eda เป็นผู้รับผิดชอบในไต้หวัน อาศัยช่วงทำพิธีมิสซาในวันอาทิตย์และสถานีรถไฟไทเปเป็นฐานปฏิบัติการดึงดูดแรงงานชาติเดียวกันใช้บัญชีเงินฝากหารายได้เสริม โดยอ้างว่า ช่วยเพื่อนชาติเดียวกันโอนเงินกลับบ้านแล้วจะได้รับค่าตอบแทน ทำให้แรงงานฟิลิปปินส์บอกกันปากต่อปาก แห่เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก หลายคนเป็นผู้อนุบาล เข็ญอากงหรืออาม่าไปด้วย พูดคุยโทรศัพท์รับคำสั่งถอนเงินโอนเงินหารายได้ไปด้วย โดยหารู้ไม่ว่า เงินที่โอนเข้าบัญชีของตน และช่วยถอนออกมาโอนกลับบ้านเข้าบัญชีธนาคารตามที่เจาะจงนั้น เป็นเงินของผู้เสียหายชาวไต้หวัน และพฤติกรรมดังกล่าว ได้เข้าร่วมขบวนการต้มตุ๋นและเป็นการฟอกเงิน หลังตรวจสอบจนได้หลักฐานชัดเจนแล้ว กรมสอบสวนคดีอาญาได้สนธิกำลังตำรวจหลายท้องที่ จับกุมแรงงานฟิลปปินส์ได้ 20 คน หลายคนเพิ่งรู้ว่า ตนเข้าร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ตำรวจประชาสัมพันธ์ให้แรงงานฟิลิปปินส์บริเวณโบสถ์และสถานีรถไฟไทเป เตือนให้ระวังตกเป็นเครื่องมือแก๊งคอลเซ็นเตอร์
จากคดีดังกล่าว ตำรวจได้ทำโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ให้แรงงานต่างชาติ โดยเฉพาะแรงงานฟิลิปปินส์ที่สถานีรถไฟไทเป ขณะเดียวกัน ประชาสัมพันธ์ผ่านรายการของเราให้แรงงานไทยได้ทราบว่า ระวัง อย่าให่ใครใช้บัญชีธนาคารของเรา โดยเห็นแก่เงิน เพราะท่านอาจตกเป็นผู้ต้องหาฟอกเงินหรือเป็นสมาชิกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้ไม่คุ้มเสีย
ตำรวจประชาสัมพันธ์ให้แรงงานฟิลิปปินส์บริเวณโบสถ์และสถานีรถไฟไทเป เตือนให้ระวังตกเป็นเครื่องมือแก๊งคอลเซ็นเตอร์