1. นายจ้างโวย บจง. เก็บค่าทำเรื่องยกระดับแรงงานกึ่งฝีมือ 50,000 เหรียญ ก. แรงงานลั่น หากเป็นแรงงานรายเดิม บจง. จะเก็บจากนายจ้างได้ไม่เกิน 1/2 ของค่าจ้างเดือนแรก ห้ามเก็บจากแรงงาน ฝ่าฝืนปรับ 10-20 เท่าของมูลค่าที่เก็บ
โครงการยกระดับแรงงานต่างชาติทั่วไปเป็นแรงงานกึ่งฝีมือประกาศใช้มาได้เพียงเดือนเศษ มีนายจ้างโวยวายว่า บริษัทจัดหางานเรียกเก็บค่าบริการทำเรื่องจากนายจ้างและแรงงานต่างชาติฝ่ายละ 25,000 เหรียญ รวมเป็นเงิน 50,000 เหรียญ ทั้งที่เป็นนายจ้างและแรงงานต่างชาติรายเดิม ต่อปัญหานี้ กระทรวงแรงงานกล่าวว่า หากนายจ้างว่าจ้างแรงงานต่างชาติคนเดิมเป็นแรงงานกึ่งฝีมือ บริษัทจัดหางานสามารถเก็บค่าบริการได้เฉพาะจากนายจ้างเท่านั้น ในอัตราครึ่งหนึ่งของค่าจ้างเดือนแรก จะเก็บจากแรงงานต่างชาติไม่ได้ บจง. ใดฝ่าฝืน จะถูกปรับ 10-20 เท่าของมูลค่าที่เรียกเก็บ และจะถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบกิจการจัดหางานเป็นเวลา 3 เดือน
ภาพกลุ่มมนายจ้างไต้หวันที่ว่าจ้างผู้อนุบาลนั่งรถเข็นไฟฟ้าไปเรียกร้องขอให้กระทรวงแรงงานหาทางเจรจากับรัฐบาลอินโดนีเซีย ยุตินโยบายแรงงานไปทำงานต่างประเทศเสียค่าใช้จ่ายเป็นศูนย์เมื่อปี 2563
เพื่อที่จะแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน กระทรวงแรงงานประกาศอนุญาตให้แรงงานต่างชาติที่มีอายุการทำงานในไต้หวันอย่างต่อเนื่องครบ 6 ปีขึ้นไป มีทักษะฝีมือและนายจ้างยอมจ่ายค่าจ้างตามกำหนด สามารถอยู่ทำงานในไต้หวันได้ต่อไป โดยไม่ถูกจำกัดระยะเวลาเหมือนแรงงานต่างชาติทั่วไป หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าโครงการยกระดับแรงงานต่างชาติเป็นแรงงานกึ่งฝีมือ ซึ่งคาดว่าแรงงานต่างชาติที่มีคุณสมบัติมีประมาณ 200,000 คนนั้น หลังโครงการดังกล่าวเริ่มมีผลบังคับใช้แล้ว นายจ้างจำนวนไม่น้อยมีความประสงค์จะว่าจ้างแรงงานของตนเป็นแรงงานกึ่งฝีมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายจ้างที่ว่าจ้างผู้อนุบาลในครัวเรือน แต่เนื่องจากขั้นตอนการทำเรื่องค่อนข้างซับซ้อน จึงต้องพึ่งบริการของบริษัทจัดหางาน แต่ถูกเรียกเก็บค่าบริการจากนายจ้างและแรงงานฝ่ายละ 25,000 เหรียญ หรือรวม 50,000 เหรียญ สูงอย่างไร้เหตุผล
บริษัทจัดหางานเรียกเก็บค่าบริการทำเรื่องยกระดับเป็นแรงงานกึ่งฝีมือ 50,000 เหรียญ สร้างความไม่พอใจให้แก่นายจ้าง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายเสวียเจี้ยนจง ผอ. สำนักงานบริหารแรงงานข้ามชาติ กรมพัฒนากำลังแรงงาน กระทรวงแรงงานกล่าวว่า เกณฑ์ค่าจ้างสำหรับการยกระดับเป็นแรงงานกึ่งฝีมือของผู้อนุบาลต่างชาติในครัวเรือน คือ 24,000 เหรียญไต้หวัน ตามกฎระเบียบบริษัทจัดหางานช่วยนายจ้างนำเข้าและจัดหาแรงงานต่างชาติรายใหม่ สามารถเรียกเก็บค่าบริการจากนายจ้างได้ในอัตราค่าจ้างเดือนแรก แต่การให้บริการช่วยนายจ้างทำเรื่องยกระดับแรงงานรายเดิมเป็นแรงงานกึ่งฝีมือ ไม่ต้องยุ่งยากเหมือนอย่างขั้นตอนการนำเข้าคนใหม่ และแรงงานก็เป็นรายเดิม ไม่ต้องมีการจัดหาคนใหม่ เพราะฉะนั้น บริษัทจัดหางานจะเก็บค่าบริการจากนายจ้างได้ในรายการลงทะเบียน สามารถเก็บค่าบริการได้อย่างมากครึ่งหนึ่งของค่าจ้างเดือนแรก หรือประมาณ 12,000 เหรียญ หรืออาจมีการตกลงกันเอง แต่ห้ามเก็บจากแรงงานต่างชาติอย่างเด็ดขาด ผอ. สำนักงานบริหารแรงงานข้ามชาติผู้นี้ย้ำว่า แดงเดียวก็ไม่ได้ หากมีการเรียกเก็บจากแรงงาน หรือเก็บจากนายจ้างในอัตราสูงเกินไป บริษัทจัดหางานจะถูกปรับ 10-20 เท่ามูลค่าที่เก็บ และจะถูกลงโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบการเป็นเวลา 3 เดือน
กระทรวงแรงงานชี้ หากเป็นแรงงานรายเดิม บจง. จะเก็บจากนายจ้างได้ไม่เกิน 1/2 ของค่าจ้างเดือนแรก และห้ามเก็บจากแรงงาน ผู้ฝ่าฝืนปรับ 10-20 เท่าของมูลค่าที่เก็บ
2. แรงงานไทยในเถาหยวนโหด ไม่พอใจถูกกล่าวหาขโมยถุงเท้าแทงเพื่อนดับ ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 15 ปี
แรงงานไทยแทงกันตายคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 9 พ.ค. 64 ที่หอพักแรงงานไทยของไซต์งานก่อสร้างโรงไฟฟ้ากวนถัน เขตกวนอิน นครเถาหยวน คนแทงมีอาการมึนเมาด้วยฤทธิ์สุรา ไม่พอใจที่ถูกสงสัยว่าเป็นผู้ขโมยถุงเท้า ทะเลาะกับผู้ตายที่กำลังตากผ้า จนถึงขั้นกอดปล้ำ ชักมีดปอกผลไม้แทงที่หน้าอกซ้ายผู้ตาย 2 แผล จากนั้นหลบหนีไป เนื่องจากแทงลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ ทำให้เสียเลือดมากและทนพิษบาดแผลไม่ไหว สิ้นลมหายใจระหว่างทาง เมื่อส่งถึงโรงพยาบาล แพทย์ทำการกู้ชีวิตอยู่นาน 2 ชั่วโมง แต่ไม่เป็นผล ตำรวจตามล่าคนแทง จับได้ในพงหญ้าบริเวณหลังหอพักหลังหลบหนีไปได้ 3 ชม. ส่งดำเนินคดี ศาลท้องถิ่นเถาหยวนตัดสินจำคุก 15 ปี หลังพ้นโทษแล้ว เนรเทศออกนอกประเทศ ผู้ต้องหายื่นอุทธรณ์โดยกล่าวว่า ไม่ได้ตั้งใจฆ่า แต่ศาลอุทธรณ์ยืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้จำคุกแรงงานไทยรายนี้เป็นเวลา 15 ปี แต่อนุญาตให้อุทธรณ์ได้อีกครั้ง
ตำรวจได้เดินทางไปหอพักแรงงานไทยในไซต์งานก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่เขตกวนอิน เถาหยวน หลังได้รับแจ้งความเกิดเหตุการณ์คนงานไทยฆ่ากันเอง
นายสิวะ นามประสิทธิ์ อายุ 26 ปี มาจากชลบุรี และนายเดียว เพ็ญสวัสดิ์ อายุ 37 ปี จากอุดรธานี พร้อมเพื่อนแรงงานไทยรวม 30 คน เดินทางมาทำงานที่ไซต์งานก่อสร้างโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าไต้หวัน ในเขตกวนอิน นครเถาหยวน เมื่อกลางเดือนมีนาคม 2564 หลังกักตัวและสังเกตอาการครบกำหนด 21 วัน เข้าทำงานในวันที่ 8 เม.ย. ปีเดียวกัน
ในวันเกิดเหตุ เมื่อคืนวันที่ 9 พ.ค. เวลาประมาณ 20.00 น. เศษ นายเดียว กลับเข้ามาในหอพักด้วยอาการเมาสุรา และด่าว่าผู้ตายที่กำลังตากผ้าอยู่ในหอพัก เพราะสงสัยกล่าวหาว่าตนขโมยถุงเท้า ทั้งสองทะเลาะกันรุนแรง ถึงขั้นกอดปล้ำกัน ระหว่างนี้นายเดียวชักมีดปอกผลไม้ที่ซ่อนเหน็บไว้ในเอวออกมา จ้วงแทงหน้าอกข้างซ้ายของนายสิวะ เป็นแผลลึกจนมิดด้าม 2 แผล จากนั้นหลบหนีไป
ตำรวจออกค้นหาคนงานไทยมือมีดที่แทงเพื่อนร่วมชาติเสียชีวิต
เพื่อน ๆ ในหอพักและล่ามได้โทรศัพท์แจ้งความ รถพยาบาลส่งนายสิวะรักษาฉุกเฉิน แต่เสียชีวิตระหว่างทางไปโรงพยาบาล แพทย์กู้ชีวิตนาน 2 ชั่วโมงไม่เป็นผล ส่วนนายเดียว หลังก่อเหตุหลบหนีไปซ่อนอยู่ในพงหญ้า บริเวณใกล้หอพัก ถูกตำรวจตามจับได้ในเวลา 23.00 น. ในคืนเดียวกัน ถูกส่งดำเนินคดีข้อหาฆ่าคน อัยการดำเนินคดีสั่งฟ้องข้อหาฆ่าคน ศาลท้องถิ่นเถาหยวนตัดสินจำคุก 15 ปี หลังพ้นโทษแล้ว เนรเทศออกนอกประเทศ ผู้ต้องหายื่นอุทธรณ์แก้ต่างว่า ไม่ได้จงใจฆ่าผู้ตาย แต่ศาลอุทธรณ์พิจารณาจากหลักฐานต่าง ๆ แล้วเห็นว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงที่หน้าอกข้างซ้ายของผู้ตายอย่างแรงในครั้งแรก ลึกถึง 14 ซม. จนมิดด้ามตัดขั้วหัวใจและทะลุไปถึงปอด จากนั้นดึงมีดออกและแทงไปที่อกด้านขวาอย่างแรงเช่นกันโดยไม่ได้ยั้งรอ แสดงถึงความโหดเหี้ยมและฆ่าผู้ตายโดยเจตนา ในคำพิพากษาระบุว่า นายเดียวฆ่าคนเพียงแค่ไม่พอใจที่เพื่อนสงสัยว่าเป็นผู้ขโมยถุงเท้า เป็นเหตุให้ผู้ตาย ซึ่งมีวัยเพียง 26 ปีเสียชีวิต สร้างความเสียหายและเศร้าโศกให้กับครอบครัวผู้ตาย จัดเป็นโทษที่ร้ายแรง และหลังเกิดเหตุไม่มีการประนีประนอมยอมความกับญาติผู้ตาย ดังนั้น การตัดสินจำคุก 15 ปีของศาลชั้นต้นนั้นเหมาะสมแล้ว จึงตีกลับการอุทธรณ์ ยืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ตัดสินจำคุก 15 ปี แต่อนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์ได้อีก
นายเดียว หลังก่อเหตุหลบหนีไปซ่อนอยู่ในพงหญ้า บริเวณใกล้หอพัก ถูกตำรวจตามจับได้และส่งดำเนินคดีข้อหาฆ่าคน
นี่ก็เป็นอีกคดีหนึ่งของแรงงานไทยที่แทงกันเองเสียชีวิต สาเหตุหลักมาจากฤทธิ์น้ำเมา ทั้งนี้ สุราจัดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของแรงงานไทยในไต้หวัน นอกจากทะเลาะวิวาทฆ่ากันเอง และเป็นผลทำให้เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้ว ยังทำให้แรงงานไทยจำนวนไม่น้อยสุขภาพร่างกายทรุดโทรมหรือป่วยเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง จนถึงขั้นเสียชีวิต
มีดที่ใช้แทงเพื่อนร่วมชาติเสียชีวิต
จึงเตือนมาด้วยความหวังดีว่า ควรลดละเลิกในการดื่มสุรา ด้วยการขจัดค่านิยมว่าลูกผู้ชายต้องดื่มสุรา ทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดความสุขและผ่อนคลายแก่ตนเอง เช่น ฟังดนตรี เล่นกีฬาเบาๆ ทำงานศิลปะ เป็นต้น หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เสี่ยง หรือตัวกระตุ้นเร้าให้อยากดื่ม เช่น ร้านขายสุรา เพื่อนที่ดื่ม หรือชวนไปปาร์ตี้ เป็นต้น บอกกับบุคคลในครอบครัวและคนใกล้ชิดว่าตนกำลังเลิกสุรา ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วย ปฏิเสธเพื่อนที่มาชวนดื่มว่า ตนกำลังมีปัญหาสุขภาพ อยากจะลด ละ เลิกการดื่มสุรา