1. ระวัง! ซื้อตั๋วกลับบ้านเองโดยไม่บอกเลิกสัญญา หรือลาไปพักร้อนไม่กลับตามกำหนด จะเข้าไต้หวันใหม่ไม่ได้ เพราะชื่อยังอยู่ในฐานข้อมูลของกระทรวงแรงงาน
เพื่อที่จะคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของแรงงานต่างชาติ ไม่ให้เกิดสภาพการณ์ที่ถูกนายจ้างหรือบริษัทจัดหางานบังคับส่งกลับประเทศโดยไม่สมัครใจเหมือนในอดีต ไต้หวันมีการแก้กฎหมาย กำหนดให้นายจ้างและแรงงานต่างชาติที่ประสงค์จะยกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนด 14 วันขึ้นไป ต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบและรับรองความสมัครใจในการยกเลิกสัญญาของทั้งสองฝ่ายจากกองแรงงานท้องที่ เมื่อผ่านการยืนยันและรับรองแล้วว่า เกิดจากความสมัครใจและไม่มีข้อพิพาทหรือติดค้างค่าจ้างใด ๆ กองแรงงานท้องที่จะออกใบรับรองและบันทึกในระบบฐานข้อมูลของกระทรวงแรงงาน นายจ้างจะต้องแนบหลักฐานดังกล่าว ขณะยื่นขอนำเข้าแรงงานคนใหม่มาทดแทน และแรงงานต่างชาติจะต้องเดินทางกลับประเทศตามกำหนดเวลาที่ระบุในใบรับรอง เมื่อจะเดินทางกลับเข้ามาทำงานรอบใหม่จะไม่มีปัญหาใด ๆ
ตัวอย่างใบรับรองการยกเลิกสัญญาก่อนกำหนด ออกโดยกองแรงงาน นครไทจง
แต่เริ่มจากปี 2566 เป็นต้นมา มีแรงงานต่างชาติโดยเฉพาะแรงงานไทย จู่ ๆ หายตัวไปติดต่อไม่ได้ ทีแรกนายจ้างคิดว่าหลบหนี เตรียมไปแจ้งความตามกฎระเบียบ แต่มารู้จากเพื่อนแรงงานไทยรายอื่น ๆ ว่า เดินทางกลับประเทศไทยไปแล้ว โดยไม่มีการแจ้งให้นายจ้างหรือล่ามทราบและไม่ได้ไปยกเลิกสัญญาที่กองแรงงานท้องที่ ขณะที่มีแรงงานไทยหลายรายลากลับบ้านไปพักร้อน แต่ถึงกำหนดเดินทางกลับเข้าไต้หวัน ไม่ได้กลับตามกำหนด ทั้งที่ระบบฐานข้อมูลของกระทรวงแรงงาน ยังมีรายชื่อแรงงานไทยเหล่านี้ทำงานอยู่กับนายจ้างเดิม สาเหตุที่แรงงานไทยเดินทางกลับโดยไม่บอกใคร หลายคนต้องการจะกลับมาทำงานกับนายจ้างรายใหม่ที่คิดว่าสวัสดิการดีกว่าหรือมีโอทีทำมากกว่า แต่พฤติกรรมที่กลับเองหรือลาพักไม่กลับมาตามกำหนดเวลาดังกล่าว ส่งผลให้นายจ้างเดิมไม่สามารถนำเข้าแรงงานคนใหม่มาทดแทนได้ ขณะที่แรงงานไทยที่ตั้งใจจะกลับมาทำงานกับนายจ้างรายใหม่ หรือบางรายที่ลากลับ เมื่อประสงค์จะเดินทางเข้าไต้หวันทำงานรอบใหม่ สำนักงานตัวแทนไต้หวันประจำประเทศไทย ไม่สามารถออกวีซ่าให้ได้ เพราะในฐานข้อมูลของกระทรวงแรงงาน ยังไม่ได้ยกเลิกสัญญา ยังคงทำงานอยู่ที่ไต้หวันกับนายจ้างรายเดิม
หากมีความจำเป็นต้องเดินทางกลับบ้านก่อนครบสัญญาเกินกว่า 14 วัน จะต้องแจ้งนายจ้างและไปทำการยกเลิกสัญญาก่อนกำหนดที่กองแรงงานท้องที่ จึงจะเดินทางกลับบ้านได้
เพื่อที่จะแก้ปัญหาดังกล่าว เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2567 กระทรวงแรงงานมีหนังสือถึงนายจ้าง ชี้แจงวิธียื่นขอเพิกถอนการว่าจ้างจากกรณีที่กล่าวมาข้างต้นดังนี้ :
1. แรงงานต่างชาติที่ลากลับไปพักร้อน ไม่เดินทางกลับมาทำงานตามกำหนด หากยินยอมยกเลิกสัญญาย้อนหลังและผ่านกระบวนการรับรองเอกสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ถือวันที่ยกเลิกสัญญาเป็นหลักเพิกถอนใบอนุญาตจ้างงาน
2. หากไม่มีหลักฐานแสดงความยินยอมยกเลิกสัญญา และแรงงานไม่ประสงค์จะเดินทางกลับมาทำงาน นายจ้างสามารถใช้เหตุผลแรงงานต่างชาติขาดงานโดยไม่มีเหตุผล ยกเลิกสัญญาได้ตามกฎหมายมาตรฐานแรงงาน
3. แรงงานต่างชาติที่ซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้านเองโดยไม่แจ้งให้นายจ้างทราบ ติดต่อไม่ได้หรือไม่ยอมทำหนังสือขอยกเลิกสัญญาโดยความสมัครใจผ่านกระบวนการรับรองเอกสารจากประเทศต้นทางหรือสำนักงานตัวแทนไต้หวันในต่างประเทศ ให้นายจ้างยกเลิกสัญญาตามเหตุผลในข้อ 2 แนบเอกสารยืนยัน อาทิ หลักฐานบันทึกการทำงานประจำวัน ใบรับรองไม่ได้เดินทางกลับเข้าไต้หวันใหม่ออกโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เป็นต้น เพื่อยื่นขอเพิกถอนใบอนุญาตจ้างงาน
อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงานเตือนว่า เอกสารที่ยื่นขอเพิกถอนใบอนุญาตจ้างงานดังกล่าว หากตรวจพบว่านายจ้างหรือบริษัทจัดหางานทำปลอม ในส่วนขอนายจ้าง ต้องระวางโทษปรับ 300,000-1,500,000 เหรียญไต้หวัน และจะถูกเพิกถอนใบอนุญาตจ้างงานบางส่วนหรือทั้งหมด สำหรับบริษัทจัดหางานมีโทษปรับ 300,000-1,500,000 เหรียญไต้หวันเช่นกันและจะถูกพักใบอนุญาตจัดหางาน 1 ปี
ระวัง! การเดินทางกลับประเทศระหว่างสัญญาโดยไม่แจ้งยกเลิกสัญญาจ้าง หรือลาพักแล้วไม่กลับมาตามกำหนด จะไม่สามารถขอวีซ่าเข้าไต้หวันใหม่ได้
ขอเตือนแรงงานไทยต้องระวัง ปัญหาของนายจ้างสามารถแก้ไขได้ตามที่กระทรวงแรงงานชี้แจง แต่ในส่วนของแรงงาน ไม่ว่าท่านจะซื้อตั๋วกลับบ้านเองโดยไม่ยกเลิกสัญญา หรือลาไปพักร้อนแล้วไม่กลับตามกำหนด เมื่อไปขอวีซ่าเพื่อเดินทางเข้าไต้หวันทำงานรอบใหม่ จะได้รับการปฏิเสธ เพราะไม่ได้ผ่านกระบวนการยกเลิกสัญญาก่อนกำหนดตามกฎระเบียบ ทำให้ชื่อยังติดอยู่ในฐานข้อมูลกระทรวงแรงงาน เท่ากับว่า ยังทำงานอยู่ในไต้หวัน จึงไม่สามารถออกวีซ่าใหม่ให้ได้
2. คืบหน้าโรงงานผลิตแท่งอะลูมิเนียมในเกาสงระบบหล่อเย็นขัดข้อง อะลูมิเนียมเหลว 700°c ระเบิด ทำร่าง 8 แรงงานกระจุย แรงงานไทยดับ 2 บาดเจ็บ 3 แรงงานไต้หวันบาดเจ็บ 3 พบโรงงานมีประวัติโดนปรับบ่อย
โรงงานหลอมและหล่อแท่งอะลูมิเนียมที่เกาสงเร่งการผลิต ทำงานล่วงเวลาในวันเสาร์ที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา แต่สันนิษฐานระบบหล่อเย็นขัดข้อง อะลูมิเนียมเหลวอุณหภูมิสูง 700°c สัมผัสกับน้ำเกิดการระเบิด ส่งผลให้แรงงาน 8 คนที่ทำงานอยู่ใต้เตาหลอมในขณะนั้น ประกอบด้วยแรงงานไทย 5 คนและแรงงานชาวไต้หวัน 3 คน หนีไม่ทัน ถูกแรงระเบิดส่งร่างกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง บางคนร่างกายไหม้เกรียม บางคนแขนขาด ภายในโรงงานเสมือนโดนบอมบ์ใหม่ ๆ มีแรงงานไทยเสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บ 3 คน 1 ในจำนวนนี้อากาศสาหัส แต่พ้นขีดอันตรายแล้ว และยังมีแรงงานท้องถิ่นบาดเจ็บอีก 3 ราย
โรงงานผลิตแท่งอะลูมิเนียมที่เกาสงระเบิด อะลูมิเนียมเหลว 700°c กระจาย แรงงานไทยเสียชีวิต 2 บาดเจ็บ 3 แรงงานไต้หวันบาดเจ็บอีก 3 (ภาพจาก udn.com)
อุบัติเหตุร้ายแรงจากการทำงานครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อเวลา 08.15 น. วันเสาร์ที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา มีเสียงระเบิดดังสนั่นที่ เจียฟง อะลูมินัม (Juei Feng Aluminum Co., Ltd.) โรงงานผลิตแท่งอะลูมิเนียมที่เขตหูเน่ย นครเกาสง เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยกู้ภัยพร้อมรถดับเพลิง 15 คันรุดไปที่เกิดทันที เมื่อไปถึงภายในโรงงานไม่มีเปลวไฟ แต่เต็มไปด้วยฝุ่นขาวและควัน เศษอะลูมิเนียมเกลื่อนพื้น แรงระเบิดทำให้ภายในโรงงานเสมือนกับถูกบอมบ์ มีแรงงาน 3 รายที่ยังมีชีวิตนอนร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดข้างแท่นเครื่อง และมีแรงงานร่างถูกแสงไฟที่สว่างวาบรุนแรงในพริบตาไหม้จนดำเกรียม บางคนแขนขาดและมีแรงงานที่หลังถูกไฟไหม้ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดดังระงม เจ้าหน้าที่กู้ภัยรีบส่งแรงงานทั้ง 8 คนไปรักษาฉุกเฉินที่โรงพยาบาล แต่แรงงานไทย 2 ราย อายุ 37 ปีและ 46 ปี มาจากจังหวัดมหาสารคามและจังหวัดชัยภูมิตามลำดับ โชคร้ายเสียชีวิตก่อนถึงโรงพยาบาล แรงงานไทยอายุ 31 ปีมาจาก กทม. ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ขาสองข้าง หลังแพทย์ผ่าตัดกู้ชีวิต พ้นขีดอันตรายแล้ว นอกนั้นอีก 5 คนได้รับบาดเจ็บในระดับแตกต่างกันไป ประกอบด้วยแรงงานไทย 2 คน แรงงานชาวไต้หวัน 3 คน
สภาพภายในโรงงานหลังเกิดการระเบิด (ภาพจาก chinatimes.com)
นายอู๋ ผู้จัดการโรงงานให้การต่อสำนักงานตรวจสอบความปลอดภัยและอาชีวอนามัยสาขาภาคใต้ว่า อุบัติเหตุครั้งนี้ สันนิษฐานว่าเกิดจากระบบไฟฟ้าควบคุมอุณหภูมิขัดข้อง ส่งผลให้กระบวนการหล่อแท่งอะลูมิเนียมไม่สามารถระบายความร้อนได้ตามปกติ อะลูมิเนียมเหลวที่มีความร้อนสูง 700°c เมื่อสัมผัสกับความชื้นเกิดการระเบิดทันที ทำให้แรงงาน 8 คนที่ทำงานอยู่ด้านล่างของหม้อต้มอะลูมิเนียมหนีไม่ทัน จนเกิดโศกนาฏกรรมเสียชีวิตและบาดเจ็บดังกล่าว อย่างไรก็ตาม รายละเอียดปัญหาเกิดขึ้นที่กระบวนการผลิตจุดไหน อย่างไร ยังคงต้องรอการตรวจสอบต่อไป ด้านนางหวง กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทเจียฟง อะลูมินัม เขียนจดหมายด้วยลายมือตัวเอง นอกจากกล่าวขอโทษต่อพนักงานที่บาดเจ็บ ทายาทผู้เสียชีวิตและสังคมที่ห่วงใยในเหตุระเบิดครั้งนี้แล้ว ยังกล่าวว่าจะรับผิดชอบต่อทายาทผู้เสียชีวิตและแรงงานที่บาดเจ็บอย่างเต็มที่ หลังถูกตำรวจควบคุมตัวสอบปากคำและส่งดำเนินคดีข้อหาประมาทเป็นเหตุให้เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บและฝ่าฝืนกฎหมายความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงาน แม้จะมีความผิดร้ายแรงสมควรควบคุมตัว แต่พนักงานอัยการคำนึงถึงว่า มีการตรวจสอบและทราบสาเหตุของอุบัติเหตุในเบื้องต้นแล้ว จึงให้นางหวงประกันตัวได้ในวงเงินประกัน 1,000,000 เหรียญไต้หวัน และปล่อยตัวนายอู๋ ผู้จัดการโรงงาน เพื่อรอการดำเนินคดีของศาล
สภาพภายในโรงงานหลังเกิดการระเบิด (ภาพจาก udn.com)
จากสถิติของสำนักงานตรวจสอบความปลอดภัยและอาชีวอนามัยพบว่า ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ในนครเกาสงเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงในสถานประกอบการเช่นโรงงานและไซต์งานก่อสร้างปีละประมาณ 30 ครั้ง มีผู้ใช้แรงงานเสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 29 ราย สมาชิกสภาเทศบาลนครเกาสงวิพากษ์วิจารณ์หน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า หละหลวมในการตรวจสอบความปลอดภัยในสถานประกอบการ เรียกร้องให้ผู้ว่าการนครเกาสงสั่งการกวดขันในการตรวจสอบมากขึ้น ด้านกองแรงงาน นครเกาสงกล่าวว่า มีการจัดตั้งหน่วยผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่ปี 2564 ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่เกษียณอายุแล้ว ทำหน้าที่ให้คำแนะนำด้านความปลอดภัยและเข้าประจำสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงสูง ทำให้อุบัติเหตุลดลงไปมาก แต่ยังต้องพยายามต่อไป และสำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ จากการตรวจสอบของกองแรงงานพบว่า โรงงานหล่อและหลอมโลหะ มีกระบวนการผลิตที่มีอุณหภูมิสูง เพื่อหลีกเลี่ยงเกิดการระเบิดจากไอน้ำ โรงงานต้องมีการออกแบบเป็นพิเศษ ป้องกันไม่ให้มีน้ำบนพื้นใกล้เตา หรือป้องกันน้ำฝนรั่วซึมจากผนังหรือหน้าต่าง เพราะจะทำให้อะลูมิเนียมเหลวความร้อนสูงสัมผัสกับน้ำหรือความชื้นเกิดการระเบิด สำหรับเจียฟง พบสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการระเบิดเพราะบนพื้นมีน้ำ จึงเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงดังกล่าว นอกจากสั่งปิดโรงงานแล้ว ยังสั่งปรับเงิน 300,000 เหรียญ ฐานฝ่าฝืนความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงานมาตรา 6 ข้อที่ 1
สภาพภายในโรงงานหลังเกิดการระเบิด (ภาพจาก udn.com)
ด้านสำนักงานตรวจสอบความปลอดภัยและอาชีวอนามัยสาขาภาคใต้กล่าวว่า โรงงาน ไซต์งานก่อสร้างและโรงงานผลิตภัณฑ์เคมี เป็นต้น ถูกจัดเป็นสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงสูง ทางสำนักงานฯ จะดำเนินการตรวจสอบทุก 2-3 เดือน สำหรับบริษัทเจียฟง อะลูมินัม ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สำนักงานฯ เคยจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบแล้ว 14 ครั้ง พบผู้ประกอบการไม่ให้การอบรมด้านความปลอดภัยในการทำงานแก่พนักงานเข้าใหม่ และไม่ให้การอบรมความปลอดภัยการทำงานที่มีความเสี่ยงสูงหรืออบรมในชั่วโมงที่ไม่เพียงพอตามกฎหมายกำหนด และไม่ดำเนินการตรวจสอบ ซ่อมบำรุงอุปกรณ์เครื่องจักรตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ซึ่งผู้ประกอบการได้ให้ความร่วมมือแก้ไขข้อบกพร่องทุกครั้ง
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานตรวจสอบความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ตำรวจและอัยการเดินทางไปตรวจสอบยังสถานที่เกิดเหตุ (ภาพจาก udn.com)
นายณัฐชยวัศ สงวนไชยกฤษณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานแรงงานไทย เมืองเกาสงกล่าวว่า โรงงานดังกล่าวมีแรงงานไทยรวมทั้งสิ้น 11 คน ช่วงเกิดเหตุมีแรงงานไทยที่เข้าทำงานจำนวน 5 คน ภายหลังเกิดเหตุ สำนักงานแรงงานไทยได้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไต้หวัน เพื่อให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ประสบอุบัติเหตุ และเข้าเยี่ยมแรงงานไทยที่บาดเจ็บและพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล พร้อมประสานงานกับบริษัทจัดหางานไต้หวันและไทย ให้ความช่วยเหลือและดูแลสิทธิประโยชน์แก่ทายาทผู้เสียชีวิตและญาติพี่น้องของแรงงานไทยที่ได้รับบาดเจ็บต่อไปแล้ว
นายณัฐชยวัศ สงวนไชยกฤษณ์ (คนที่ 2 จากขวา) ผอ. สำนักงานแรงงานไทย เมืองเกาสงและคณะ พร้อมด้วยนางหวง (คนที่ 1 จากซ้าย) ประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทเจียฟง ไปเยี่ยมแรงงานไทยที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเฉิงกงที่ไถหนาน (ภาพจาก สนร. เกาสง)
ด้านบริษัทจัดหางาน ไทยดีเลิศ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด. ซึ่งเป็นบริษัทจัดหางานไทยที่จัดส่งแรงงานไทยของโรงงานนี้กล่าวว่า เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ได้เชิญญาติพี่น้องของแรงงานไทยที่ประสบอุบัติเหตุครั้งนี้มาที่บริษัท เพื่อชี้แจงสิทธิประโยชน์และขั้นตอนดำเนินการ โดยกล่าวว่า จะให้ความร่วมมือกับหน่วยงานไทยให้ความช่วยญาติแรงงานไทยที่ประสบอุบัติเหตุดังกล่าวอย่างเต็มที่ต่อไป
ญาติพี่น้องของแรงงานไทยที่ประสบอุบัติเหตุ เดินทางมาที่บริษัทจัดหางาน เพื่อรับฟังสิทธิประโยชน์และขั้นตอนดำเนินการ (ภาพจาก บจง. ไทยดีเลิศ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด)
อัตราการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานโดยรวมของผู้ใช้แรงงานในไต้หวันค่อนข้างสูง ข้อมูลของปี 2554 ยังสูงถึง 4.176 คนต่อพันคน ด้วยความพยายามในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดของรัฐบาล ทำให้ลดลงเหลือ 2.496 คนต่อพันคนในปี 2562 และเมื่อสิ้นปี 2564 ลดลงเหลือ 2.18 คนต่อพันคน และมาสูงขึ้นอีกครั้งเมื่อปี 2565 ตัวเลขอยู่ที่ 2.27 คนต่อพันคน ทั่วไต้หวันมีผู้ใช้แรงงานเสียชีวิตจากอุบัติเหตุขณะทำงานมากถึง 320 คน มากกว่าปี 2564 ถึง 42 คน เฉลี่ยมีผู้ใช้แรงงานเสียชีวิตจากการทำงานวันละ 1.14 คน ทำลายสถิติในรอบ 6 ปี โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่มีผู้ใช้แรงงานมากที่สุด เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด และที่น่าสังเกตคือ ในกลุ่มแรงงานต่างชาติ ตัวเลขอัตราการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าแรงงานท้องถิ่นปราณ 1 เท่าตัว สาเหตุสำคัญมาจากการอบรมให้ความรู้ด้านความปลอดภัยไม่เพียงพอ ทำให้แรงงานต่างชาติขาดความตื่นตัวและความรู้ในการป้องกันอุบัติภัย สมควรต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้
3. ทริปทัวร์คุก! 4 นักท่องเที่ยวชาวไทยเผ่าม้งรับจ้างขนเฮโรอีน 36 กก. เข้าไต้หวัน ซุกผ้าลายดอกถูกจับค่าสนามบินเถาหยวน จุดแรกของทริปทัวร์ไต้หวันคือคุก
ยังคงมีคนไทยยอมเสี่ยงติดคุกเพื่อรับค่าจ้างขนยาเสพติดเข้าไต้หวันและถูกจับอย่างต่อเนื่อง ตำรวจท่าอากาศยานนานาชาติเถาหยวนแถลงข่าวเมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมาว่า ทยอยจับผู้ต้องหาชาวไทยปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยวลักลอบขนเฮโรอีนน้ำหนักรวม 36.644 กก. เข้าไต้หวันได้จำนวน 4 คน อีก 1 คนเป็นชาวไต้หวันที่มารับยา ทั้งหมดถูกส่งดำเนินคดีข้อหาฝ่าฝืนกฎหมายป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้โทษ ซึ่งมีโทษสูงสุดประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต
4 นักท่องเที่ยวชาวไทยเผ่าม้งรับจ้างขนเฮโรอีนเข้าไต้หวัน บรรจุในฟิล์มเย็บติดชั้นในผ้าลายดอกบรรจุกระเป๋าสัมภาระ 4 ใบ ใบละ 9 กก. เศษ น้ำหนักรวม 36.644 กก. มูลค่าตลาดมืดคาดไม่ต่ำกว่า 100 ล้านเหรียญไต้หวัน ถูกจับค่าสนามบินเถาหยวน (ภาพจากตำรวจท่าอากาศยาน)
ตำรวจท่าอากาศยานนานาชาติเถาหยวนกล่าวว่า คดีลักลอบขนเฮโรอีน ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เข้าไต้หวันดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ตรวจพบ 4 คนไทยปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยวรับจ้างขนเฮโรอีนเข้าไต้หวัน วางแผนแยกการเดินทางออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 2 คน กลุ่มที่ 2 เดินทางถึงสนามบินจะปลีกตัวออกจากสนามบินก่อน เพื่อติดต่อขบวนการค้ายาฝ่ายไต้หวันมารับของ แต่ไม่คิดว่ากลุ่มแรกที่รับผิดชอบขนสัมภาระ 4 ใบ ถูกตรวจพบซุกซ่อนยาเสพติดโดยเย็บติดชั้นในผ้าลายดอกบรรจุในกระเป๋าสัมภาระ 4 ใบ ใบละ 9 กก. เศษ น้ำหนักรวม 36.644 กก. มูลค่าในตลาดมืดคาดไม่ต่ำกว่า 100 ล้านเหรียญไต้หวัน
1 ใน 4 คนไทยเผ่าม้งถูกจับคาสนามบินเถาหยวน ขณะรับจ้างขนเฮโรอีนน้ำหนัก 36 กก. เข้าไต้หวัน (ภาพจากตำรวจท่าอากาศยาน)
จากการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้งสองให้การสารภาพหมดเปลือกว่า พวกตนเป็นชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง จากชายแดนภาคเหนือของไทยบริเวณติดต่อกับพม่า ผู้ใหญ่บ้านในชุมชนเผ่าม้งเป็นผู้ชักชวนพวกตนที่เป็นลูกบ้าน 3 คน โดยสัญญาว่า จะจ่ายค่าจ้างคนละ 800,000 บาท (ประมาณ 720,000 เหรียญไต้หวัน) ลักลอบนำเฮโรอีนบรรจุแผ่นฟิล์มบางเย็บติดผ้าลายดอกบรรจุในกระเป๋าสัมภาระ 4 ใบ ใบละ 9 กก. เศษ และหลังเดินทางถึงสนามบินเถาหยวน ผู้ใหญ่บ้านละลูกบ้านอีกคนจะแยกเดินทางออกจากสนามบินก่อน เพื่อติดต่อขบวนการค้ายา ซึ่งเป็นผู้ซื้อฝ่ายไต้หวัน ส่วนกระเป๋าสัมภาระทั้ง 4 ใบ ทิ้งให้ตนกับเพื่อนบ้านอีกคนดูแลและรับออกจากสนามบิน ไม่คิดว่าผ่านด่านศุลกากรก็ถูกตรวจพบทันที ผู้ต้องหาทั้งสองที่ถูกจับยังให้การโรงแรมที่พักของพวกตนหลังเดินทางถึงไต้หวันแล้ว
4 คนไทยเผ่าม้งถูกจับคาสนามบินเถาหยวน ขณะรับจ้างขนเฮโรอีนน้ำหนัก 36 กก. เข้าไต้หวัน (ภาพจากตำรวจท่าอากาศยาน)
ตำรวจท่าอากาศยานประสานกับตำรวจท้องถิ่นจับกุมผู้ต้องหาที่เป็นผู้ใหญ่บ้านและลูกบ้านอีกคนที่เดินทางออกจากสนามบิน ได้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเถาหยวน และเกลี้ยกล่อมให้ประสานกับขบวนการค้ายาที่ประเทศไทยเพื่อติดต่อผู้ซื้อฝ่ายไต้หวันนัดแนะให้มารับยา ตำรวจกล่าวว่า ผู้ใหญ่บ้านรายนี้เหลี่ยมจัด ส่งสัญญาณเป็นภาษาม้งเตือนให้ระวังตำรวจ แต่ตำรวจรู้ทันสามารถจับกุมนายหวง ชายชาวไต้หวันที่ขับรถเดินทางมาจากเกาสง เพื่อมารับยาที่เถาหยวนได้โดยละม่อม หลังสอบปากคำตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งให้อัยการดำเนินคดี และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พนักงานอัยการได้สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 5 ข้อหาฝ่าฝืนกฎหมายป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้โทษ ซึ่งมีโทษสูงสุดประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต
ของกลางที่ตำรวจท่าอากาศยานยึดได้ เฮโรอีน 36.644 กก. โทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง เงินสดทั้งเงินเหรียญไต้หวันและบาทไทยจำนวนหนึ่ง ฯลฯ (ภาพจากตำรวจท่าอากาศยาน)
ตำรวจท่าอากาศยานกล่าวว่า ยาเสพติดให้โทษคุกคามความปลอดภัยของสังคมอย่างร้ายแรง การลักลอบขนส่งหรือลำเลียงยาเสพติด ไม่เพียงแต่ช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญ ยังเป็นการทำลายอนาคตของตนเองและครอบครัวด้วย จึงเตือนอย่าท้าทายกฎหมาย มิเช่นนั้น จะเสียใจในภายหลังอย่างแน่นอน