close
Rti Thaiดาวน์โหลด Rti App
Open
:::

สโมสรผู้ฟัง วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม 2568

  • 04 May, 2025
สโมสรผู้ฟัง
ปี 2567 GDP ต่อหัวของไต้หวันอยู่ที่ 33,983 ดอลลาร์สหรัฐ แซงหน้าญี่ปุ่น แต่ยังตามเกาหลีใต้

1. ลุ้น! ไปต่อได้อีกไหม? ปีที่แล้ว GDP ต่อหัวของไต้หวันอยู่ที่ 33,983 ดอลลาร์สหรัฐ คาดอีก 4 ปีข้างหน้า แตะ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ

          เมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สำนักสถิติและบัญชีกลางไต้หวันเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคล่าสุด ระบุว่า GDP ต่อหัวของไต้หวันอยู่ที่ 33,983 ดอลลาร์สหรัฐ  (ประมาณ 1,121,439 บาท) แซงหน้าญี่ปุ่น แต่ยังตามเกาหลีใต้ และคาดว่าอีก 4 ปีข้างหน้า GDP ต่อหัวของไต้หวันจะแตะ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ

GDP ต่อหัวของไต้หวันอยู่ที่ 33,983 ดอลลาร์สหรัฐ แซงหน้าญี่ปุ่น แต่ยังตามเกาหลีใต้ (ภาพจาก money.udn.com)

          โดย GDP ต่อหัว หมายถึง รายได้เฉลี่ยของประชากรในประเทศ ซึ่งคำว่า GDP ต่อหัว ย่อมาจาก ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัว (GDP Per Capita) ซึ่งได้จากการนำผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (gross domestic product หรือ GDP) คือ รายได้ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในประเทศซึ่งคิดเป็นรายปี มาหารด้วยจำนวนประชากร ก็จะทำให้รู้คร่าวๆ ว่าคนในประเทศมีความกินดีอยู่ดีแค่ไหน

GDP ต่อหัวของไต้หวันอยู่ที่ 33,983 ดอลลาร์สหรัฐ แซงหน้าญี่ปุ่น แต่ยังตามเกาหลีใต้ (ภาพจาก chinatimes.com)

          สำนักงานสถิติและบัญชีกลาง สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) รายงานว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา GDP ต่อหัวของไต้หวัน อยู่ที่ 33,983 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศสำคัญในเอเชีย ถือว่า แซงญี่ปุ่นไล่ตามเกาหลีใต้ โดยญี่ปุ่นอยู่ที่ 32,859 ดอลลาร์สหรัฐ  ขณะที่เกาหลีใต้อยู่ที่ 36,132 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนกลุ่มสี่เสือเศรษฐกิจแห่งเอเชียที่มี GDP ต่อหัวสูงกว่าไต้หวัน เช่น ฮ่องกงอยู่ที่ 54,113 ดอลลาร์สหรัฐ  และสิงคโปร์ทะลุ 90,000  ดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ 90,689 ดอลลาร์สหรัฐ

สิงคโปร์เป็นประเทศเล็กๆและไม่มีทรัพยากรธรรมชาติใด ๆ แต่ GDP ต่อหัวสูงที่สุดในเอเชีย (ภาพจาก businessweekly.com.tw)

          หากดูการเปลี่ยนแปลงของ GDP ต่อหัวของไต้หวันตามข้อมูลจากกระทรวงเศรษฐการพบว่า ในปี 2535 อยู่ที่ 10,768 ดอลลาร์สหรัฐ  ใช้เวลา 19 ปีถึงจะทะลุ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2554 จากนั้นใช้เวลาเพียง 10 ปี GDP ต่อหัวของไต้หวันทะลุ 30,000 ขึ้นไปอยู่ที่ 32,944 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2564 และปี 2567 ทำสถิติใหม่ที่ 33,983 ดอลลาร์สหรัฐ  อย่างไรก็ตาม สำนักงานสถิติและบัญชีกลางไต้หวันเชื่อว่า หากเศรษฐกิจในอีก 4 ปีข้างหน้าเติบโตเฉลี่ยปีละ 3% ค่าเงินเหรียญไต้หวันไม่ผันผวนหรืออัตราแลกเปลี่ยนคงที่ มีความเป็นไปได้ที่อีก 4 ปีข้างหน้า GDP ต่อหัวของไต้หวันจะแตะ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับปี 2568 ประเมินว่า GDP ต่อหัวของไต้หวันจะอยู่ที่ 35,106 ดอลลาร์สหรัฐ

          สำหรับเป้าหมายทะลุ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐในอีก 4 ปีข้างหน้า นายไช่อวี้ไท่ (蔡鈺泰) ผู้อำนวยการสำนักสถิติและบัญชีกลางกล่าวว่า แม้จะไม่ใช่เป้าหมายที่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้ หากเศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ยปีละ 3% และค่าเงินมีเสถียรภาพ มีความเป็นไปได้ที่ไต้หวันจะบรรลุเป้าหมาย GDP ต่อหัว 40,000 ดอลลาร์สหรัฐตามที่ตั้งไว้

สำนักงานสถิติและบัญชีกลางไต้หวันคาดการณ์ว่า อีก 4 ปีข้างหน้า GDP ต่อหัวของไต้หวันจะแตะ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ  (ภาพจาก UDN)

          นายไช่อวี้ไท่ยังย้ำว่า ไม่ควรดูแค่ตัวเลขในระยะสั้น เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม เพิ่มมูลค่าเพิ่ม และพัฒนาประเทศอย่างสมดุล เนื่องจาก GDP ต่อหัวยังได้รับผลกระทบจากค่าเงิน หากค่าเงินอ่อนแม้เศรษฐกิจจะเติบโต GDP ที่คำนวณเป็นดอลลาร์สหรัฐ ก็จะลดลง เช่น ในปี 2566 GDP ต่อหัวอยู่ที่ 32,442 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 32,827 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2565 แม้ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตก็ตาม โดยทั่วไป หากเศรษฐกิจดี GDP ต่อหัวก็มักจะดีด้วย แต่ยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยอื่นอาทิ ตลาดหุ้น-ค่าเงิน ทิศทางเงินทุน บทบาทของเงินดอลลาร์สหรัฐ ฯลฯ แต่ผู้อำนวยการสำนักสถิติและบัญชีกลางกล่าวปิดท้ายว่า เป้าหมาย 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,320,000 บาท) ในปี 2571 แม้จะมีปัจจัยที่ไม่แน่นอนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงและมีโอกาสสูงที่จะทำได้

ตัวเลข GDP ต่อหัวเป็นดัชนีตัวหนึ่งที่ทำให้รู้คร่าวๆ ว่าคนในประเทศมีความกินดีอยู่ดีแค่ไหน (ภาพจาก ettoday.net)

          อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวเลข GDP ต่อหัวของประเทศหลักในเอเชียในปี 2568 สำนักสถิติและบัญชีกลางของไต้หวันคาดการณ์ว่า ไต้หวันจะอยู่ที่ 35,106 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วน IMF คาดการณ์ว่า ญี่ปุ่นจะอยู่ที่ 35,611 ดอลลาร์สหรัฐ เกาหลีใต้ 37,675 ดอลลาร์สหรัฐ หากอิงตามการคาดการณ์นี้ ไต้หวันก็จะถูกญี่ปุ่นแซงอีกครั้งในปีนี้ สำหรับประเทศไทย ข้อมูลของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช. ) ระบุ GDP ต่อหัวของคนไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 264,607.7 บาทต่อคนต่อปี (7,496.0 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อคนต่อปี)

2. วิกฤตเด็กเกิดน้อย! ทำโรงเรียนประถมในเกาสง 42 แห่งมีนักเรียนใหม่ไม่ถึง 10 คน ที่ไถหนานต้องปิด 4 แห่ง เพราะไม่นักเรียนใหม่เลย 1 ในจำนวนนี้เก่าแก่กว่า 100 ปี

          วิกฤตเด็กเกิดน้อยส่งผลกระทบหนักต่อทุกวงการ โดยเฉพาะการรับนักเรียนใหม่ในทุกระดับชั้น อย่างที่นครเกาสงและไถหนาน ได้รับผลกระทบอย่างหนัก กองการศึกษา นครเกาสงเปิดเผยข้อมูลว่า จำนวนนักเรียนใหม่ในโรงเรียนประถมพื้นที่ชนบทของนครเกาสงลดลงทุกปี ปีการศึกษา 2568 โรงเรียนประถมที่มีเด็กนักเรียนใหม่มาลงทะเบียนเข้าเรียนต่ำกว่า 10 คนมากถึง 42 แห่ง ในจำนวนนี้ โรงเรียนประถม 4 แห่ง มีเด็กนักเรียนใหม่เพียงแค่ 3 คน และมี 3 แห่งมีเด็กนักเรียนใหม่แห่งละ 1 คนเท่านั้น

ปัญหาเด็กเกิดน้อยส่งผลให้โรงเรียนประถมทั่วไต้หวันมีนักเรียนลดลง ในเกาสง 42 แห่งมีนักเรียนใหม่ไม่ถึง 10 คน ที่ไถหนานต้องปิด 4 แห่ง เพราะไม่นักเรียนใหม่เลย (ภาพจาก merit-times.com)

          กองการศึกษา นครเกาสงกล่าวว่า ทางเทศบาลนครเกาสงได้แก้ไขและผ่อนปรนข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง กำหนดให้โรงเรียนที่มีนักเรียนทั้งหมดไม่ถึง 40 คนและยังมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จะต้องจัดทำแผนการปรับเปลี่ยนสู่ความเป็นเลิศอย่างยั่งยืน 3 ปี เพื่อค้นหาจุดเด่นของโรงเรียนขนาดเล็ก พร้อมให้กองการศึกษาไปตรวจเยี่ยมให้คำแนะนำและประเมินผล เพื่อหลีกเลี่ยงโรงเรียนถูกควบรวมหรือยุบเนื่องจากจำนวนนักเรียนน้อยเกินไป

ปัญหาเด็กเกิดน้อยส่งผลให้โรงเรียนประถมทั่วไต้หวันมีนักเรียนลดลง ในเกาสง 42 แห่งมีนักเรียนใหม่ไม่ถึง 10 คน ที่ไถหนานต้องปิด 4 แห่ง เพราะไม่นักเรียนใหม่เลย (ภาพจาก LTN)

          จากสถิติของกองการศึกษา พบว่า ในปีนี้มีโรงเรียนประถมในพื้นที่ชนบทของนครเกาสง 42 แห่ง มีนักเรียนใหม่ลงทะเบียนไม่ถึง 10 คน โดยมี 4 โรงเรียนที่มีนักเรียนเพียง 3 คน ได้แก่ โรงเรียนประถมตัวน่าในเขตเม่าหลิน, โรงเรียนประถมเป่าซานในเขตเถาหยวน, โรงเรียนประถมเสี่ยวผิงในเขตต้าซู่ และโรงเรียนประถมซั่งผิงในเขตซันหลิน ขณะที่โรงเรียนประถมเสี่ยวหลินในเขตเจี่ยเซียน, โรงเรียนประถมเจี้ยนซานในเขตเถาหยวน และโรงเรียนประถมซิงเถียนในเขตต้าซู่ มีนักเรียนใหม่ลงทะเบียนเพียง 1 คนเท่านั้น

โรงเรียนประถมซินเฉียวในนครไถหนาน ก่อตั้งเมื่อปี 2463 มีอายุเก่าแก่ถึง 105 ปี ต้องประกาศปิดโรงเรียน เนื่องจากไม่มีเด็กนักเรียนใหม่มาลงทะเบียน (ภาพจาก FB รร. ซินเฉียว)

          ส่วนที่นครไถหนานก็ประสบปัญหาที่รุนแรงไม่แพ้กัน หลังจากโรงเรียนประถมซีผู่ ซึ่งไม่มีเด็กนักเรียนใหม่มาลงทะเบียน ต้องประกาศปิดทำการสอนตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมปีนี้เป็นต้นไป โรงเรียนประถมอวี้ซาน โรงเรียนประถมซินเฉียว และโรงเรียนประถมซวงชุน ก็ทยอยปิดตาม โดยโรงเรียนประถมซินเฉียวซึ่งก่อตั้งปี 2463 มีอายุเก่าแก่ถึง 105 ปี ทำให้หลายคนรู้สึกเสียดาย 

          กองการศึกษา นครไถหนานชี้แจงว่า โรงเรียนที่ยุบและให้เด็กนักเรียนไปเข้าเรียนโรงเรียนอื่น ทางเทศบาลนครไถหนานมีมาตรการสนับสนุน เช่น จัดรถรับส่ง ให้ความช่วยเหลือค่าชุดนักเรียนและกระเป๋าเรียนหลังเปลี่ยนโรงเรียน

โรงเรียนประถมซิงเถียนในเขตต้าซู่ นครเกาสง ปีนี้แม้จะมีนักเรียนใหม่ลงทะเบียนเพียง 1 คน แต่ทีมลูกข่างแบบวงล้อหรือโยโย่จีน (扯鈴) ของโรงเรียนแห่งนี้ สามารถคว้าแชมป์เป็นประจำ (ภาพจาก FB รร. ซิงเถียน)

          ด้านกระทรวงศึกษาธิการไต้หวันคาดการณ์ว่า ในปีการศึกษา 2572 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า จำนวนนักเรียนประถมทั่วไต้หวันจะร่วงต่ำกว่า 1 ล้านคน และภายในปี 2582 จะลดลงจากปี 2566 ถึง 518,000 คน หรือเฉลี่ยลดลงปีละ 29,000 คนในช่วง 14 ปีข้างหน้า

          กลุ่มนักการศึกษาได้วิเคราะห์ข้อมูล พร้อมเสนอกระทรวงศึกษาธิการ ควรใช้โอกาสนี้ลดจำนวนนักเรียนต่อห้อง เพื่อส่งเสริมการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ ส่วนกลุ่มผู้ปกครองเตือนถึงช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบท ซึ่งโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลมักได้รับผลกระทบมากที่สุด

          ตามรายงานคาดการณ์ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2566 ถึง 2582 พบว่า ปี 2566 มีนักเรียนประถม 1.235 ล้านคน และจะลดลงเหลือ 779,000 คนในปี 2582 ซึ่งลดลงจากปี 2566 ถึง 518,000 คน

โรงเรียนประถมหลงตู้ เขตเหม่ยหนง นครเกาสง ชั้น ป. 1 มีเด็กนักเรียนใหม่เพียง 5 คน ทั้งโรงเรียนมีนักเรียน 72 คน (ภาพจาก udn.com)

          จำนวนนักเรียนมัธยมต้นก็มีแนวโน้มคล้ายกัน โดยจาก 546,000 คนในปี 2566 จะลดเหลือ 404,000 คนในปี 2582 ลดลงจาก 428,000 คน หรือเฉลี่ยลดลงปีละ 8,900 คน ระดับมัธยมปลายในปี 2582 คาดว่าจะเหลือ 421,000 คน เฉลี่ยลดลงปีละ 11,000 คน

          โหว จวิ้นเหลียง ประธานสหพันธ์ครู เสนอว่า ควรใช้โอกาสจากปัญหาเด็กเกิดน้อยมาปรับลดจำนวนนักเรียนต่อห้องเรียน โดยเฉพาะตามหลักสูตรที่ปรับเปลี่ยนในปี 2561 ที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้สามารถปรับการสอนให้เหมาะกับแต่ละบุคคล พร้อมเสนอให้มีบุคลากรเฉพาะทางมาช่วยเหลืองานต่าง ๆ เช่น การแนะแนว การจัดการอาหารกลางวัน การดูแลความปลอดภัยในโรงเรียน เป็นต้น เพื่อให้โรงเรียนมีขีดความสามารถในการให้บริการที่เพียงพอ

 ศธ. ไต้หวันคาดการณ์ว่า ในปีการศึกษา 2572 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า จำนวนนักเรียนประถมทั่วไต้หวันจะร่วงต่ำกว่า 1 ล้านคน (ภาพจาก udn.com)

          เซียว ตงหยวน ประธานสมาพันธ์ผู้ปกครองนักเรียน กล่าวว่าพื้นที่ในเมืองยังมีโรงเรียนดังที่มีเด็กนักเรียนลงทะเบียนเต็มโรงเรียน แต่ในพื้นที่ชนบทได้รับผลกระทบหนักจากภาวะเด็กเกิดน้อย เขาเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการสนับสนุนการพัฒนาโรงเรียนชนบทให้มีจุดเด่นผ่านหลักสูตรเฉพาะทาง เช่น การทำโรงเรียนต้นแบบหรือโรงเรียนทดลอง เพื่อดึงดูดนักเรียนเข้าเรียนผ่านแนวทางเฉพาะตัว

ผู้จัดรายการ

ความคิดเห็นที่เกี่ยวข้อง