กระทรวงแรงงาน สำรวจระดับเงินเดือนเฉลี่ยของพนักงานที่ทำงานครั้งแรกปี พ.ศ.2566 โดยเก็บสถิติจากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) คำนวณเงินเดือนเฉลี่ยโดยเทียบจากระดับขั้นเงินเดือนของการจ่ายเงินสมทบรายเดือนเข้าสู่กองทุนบำนาญ และการประกันของข้าราชการและครู ของผู้ทำงานครั้งแรกหลังสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมต้นขึ้นไป เปิดเผยรายงานเมื่อ 30 เมษายน
สถิติชี้ว่า เงินเดือนเฉลี่ยของพนักงานที่ทำงานครั้งแรกในปี พ.ศ.2566 อยู่ที่ 35,000 เหรียญไต้หวัน เพิ่มขึ้น 2.9%เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2565 คิดเป็นสัดส่วน 72.7% ของเงินเดือนเฉลี่ยของพนักงานทำงานประจำทั่วไปในภาคอุตสาหกรรมและบริการอยู่ที่ 48,000 เหรียญไต้หวัน ทั้งนี้ เงินเดือนเฉลี่ยของผู้เข้าทำงานครั้งแรกที่สำเร็จการศีกษามัธยมปลายและอาชีวศึกษา อยู่ที่ 28,000 เหรียญไต้หวัน ปริญญาตรีอยู่ที่ 33,000 เหรียญไต้หวัน และปริญญาโทคือ 49,000 เหรียญไต้หวัน
สถิติชี้ด้วยว่า 23.4% ของเงินเดือนผู้ทำงานครั้งแรกเงินเดือนเริ่มต้นด้วยเงินเดือนพื้นฐาน (ปี พ.ศ. 2566 คือ 26,400 เหรียญไต้หวัน) ลดลง 0.7 จุดจากปี พ.ศ. 2565 คิดสัดส่วนจำนวนคนแยกตามระดับการศึกษาคือ มัธยมปลายและอาชีวศึกษา 58.3% ปริญญาตรี 23.9% และ ปริญญาโท 4.4%
หากพิจารณาตามประเภทอาชีพ ผู้ที่เรียนจบระดับปริญาตรีในกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์และสวัสดิการสังคม ทำงานครั้งแรกปี พ.ศ.2566 ได้รับเงินเดือนเฉลี่ยสูงสุด 38,000 เหรียญไต้หวัน รองลงมาคืองานด้านการศึกษา 37,000 เหรีญไต้หวัน ส่วนผู้ที่เรียนจบระดับปริญาโทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้รับเงินเดือนเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ 57,000 เหรียญไต้หวัน การผลิตและการก่อสร้าง 55,000 เหรียญไต้หวัน
เมื่อเปรียบเทียบช่องว่างรายได้ระหว่างเพศ สถิติปี พ.ศ. 2566 พบว่าเงินเดือนโดยเฉลี่ยของพนักงานหญิงที่เริ่มทำงานครั้งแรกอยู่ที่ 34,000 เหรียญไต้หวัน คิดเป็น 92% ของเงินเดือนพนักงานชายอยู่ที่ 37,000 เหรียญไต้หวัน เพิ่มขึ้น 2.3 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2565 ซึ่งอยู่ที่ 89.7% ช่องว่างรายได้ระหว่างเพศจาก 10.3% ลดลงอยู่ที่ 8% เมื่อพิจารณาจากระดับการศึกษา พบว่า ผู้ที่มีการศึกษาต่ำว่าระดับปริญญาตรี เพศหญิงและชายมีรายได้ใกล้กัน ห่างกันเพียง 1.9% ส่วนเพศหญิงที่เรียนระดับปริญญาโท มีเงินเดือนเฉลี่ย 45,000 เหรียญไต้หวัน คิดเป็น 87.1% ของเงินเดือนเพศชายอยู่ที่ 52,000 เหรียญไต้หวัน รายได้ห่างกันถึง 12.9%
สถิติยังชี้ว่า หากแบ่งตามประเภทงาน ปี พ.ศ.2566 พนักงานที่ทำงานครั้งแรก ทำงานในภาคการผลิต การขายปลีก-ขายส่งมากที่สุด 18.4% รองลงมาคืออุตสาหกรรมการแพทย์และบริการสวัสดิการสังคม 11.8% อุตสาหกรรมที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะทาง 9.1 อุตสาหกรรมที่พักและร้านอาหาร 8.1% และอุตสาหกรรมการศึกษา 7.8% เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2565 อุตสาหกรรมการผลิตได้รับผลกระทบจากการส่งออกที่ลดลง ส่งผลให้ว่าจ้างพนักงานใหม่ลดลง 3.9 %
